Review “Shure Aonic 50 หูฟังไร้สาย แบบ Full Size”
•ราคา 14,900 บาท
เมื่อเดือนที่แล้วทางมหาจักรฯ ตัวแทนจำหน่าย Shure ติดต่อมาว่าต้องการส่งหูฟัง Shure Aonic 50 มาให้
“อันนี้จะให้ถ่ายรูปหูฟังตัวนี้ใช่ไหมครับ อยากได้โทนประมาณไหน เดี๋ยวหาคนถ่ายให้ครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ ส่งมาให้พี่ใช้ฟังเพลงตามสบายค่ะ”
อืม ... ปกติพี่ก็ไม่ได้สบายอะไรขนาดนั้นนะ ยิ่งช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาดื่มด่ำกับการฟังอะไรมากมาย ล่าสุดที่ดูวนไปไม่ได้ฟัง ก็คลิปเมาคลีล่าสัตว์ที่มีน้อง ๆ เนตรนารีออกมาเต้น ตื๊ด ๆ อันนั้นก็เพลินดี “เมาคลีล่าสัตว์ เมาคลีล่าสัตว์”
“หนูส่งให้พี่ก่อน ไว้พี่สบายเมื่อไหร่ค่อยฟังก็ได้ค่ะ”
ฟังดูแปลก ๆ เนอะ
“แล้วนึกยังไงถึงส่งมาให้พี่”
“พอดีหูฟังรุ่นนี้ Adam Levine เป็น Presenter ... “
“อ่อ พี่เข้าใจแล้ว เพราะอดัมกับพี่รูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก ถ้าไม่ได้สนิทกันจริง ๆ ก็ต้องมีทักผิดทักถูกกันบ่อย ๆ”
“ไม่ใช่ค่ะ”
...
Shure Aonic 50 เป็นหูฟังไร้สายแบบ Full Size ครอบเต็มใบหู (ถ้าเป็นคนหูใหญ่มากก็ครอบไม่เต็ม)
สัญญาณไร้สายเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี Bluetooth 5 แต่ถ้าใครอยากจะต่อกับอุปกรณ์ที่ใช้ช่อง Jack 3.5 มม. ก็ทำได้นะครับ มีสายมาให้ในชุด นอกจากนั้นแล้วยังต่อผ่าน USB-C เพื่อชาร์จ และรับสัญญานเสียงดิจิตอลความละเอียดสูงได้อีกด้วย
สรุปว่าเชื่อมต่อได้ 3 แบบ
•Bluetooth 5
•Phone Jack 3.5 mm
•USB-C
ขาดก็แต่ทางกระแสจิต ถ้าใครอยากได้ แนะนำให้ปรึกษาร่างทรง เทคโนโลยีนี้วิทยาการยังไปไม่ถึง
...
•หูฟังรุ่นนี้ใส่สบายหรือเปล่า?
ก่อนจะไปเรื่องสบายไม่สบาย ขอคุยเรื่องรูปร่างหน้าตาการออกแบบ และวัสดุหูฟังรุ่นนี้ก่อน Shure Aonic 50 สไตล์การออกแบบดูเรียบหรู ดูดี มีคลาส ตัวที่ได้มาเป็นโครง และหนังสีดำตัดกับสีเงินด้าน (มีหนังสีน้ำตาลให้เลือก)
วัสดุที่ใช้ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมได้ตั้งแต่แรกเห็น และเมื่อได้สัมผัสยิ่งรู้สึกพรีเมี่ยมขึ้นไปอีกระดับ โดยเฉพาะหนังสังเคราะห์เกรดดี ที่ใช้หุ้มบริเวณตัวหูฟัง และใต้โครงรับด้านบน เดินตะเข็บด้ายสวยงามเหมือนเครื่องหนังชั้นดี หรือเบาะรถแพง ๆ
ตอนที่ได้มาแรก ๆ ลองสวมดูรู้สึกนุ่มในระดับนึง แต่เมื่อใช้ไปสัก 2-3 สัปดาห์ ผิวสัมผัส และความนุ่มดีขึ้นชัดเจนแบบรู้สึกได้ ส่งผลเรื่องสวมใส่สบายขณะใช้งานได้อย่างชัดเจน
Shure Aonic 50 รุ่นนี้ เป็นหูฟังที่ใส่สบาย ใช้งานขณะใส่แว่นได้อย่างไม่มีปัญหา หูฟังไม่กดขาแว่น ใส่ฟังยาว ๆ ได้ไม่เจ็บ
ส่วนวัสดุที่หุ้มบริเวณครอบหู (Ear Pad) ก็เป็นแบบเดียวกัน ให้ความสบายไม่เสียดสี หรือสร้างความรำคาญขณะใช้งาน นุ่มและผิวสัมผัสดีขนาดที่ว่าบางทีอยากหยิบมาใช้นิ้วกด ๆ เพลิน ๆ เหมือนของเล่นฟองน้ำที่เด็ก ๆ เล่น
ที่ชอบมากคือโครงด้านบนที่รับกับศรีษะนุ่มสบายดีมาก ไม่กดทับด้านบนศรีษะ ให้ความสมดุลย์ในการสวมใส่ที่ดีแม้ว่าหูฟังรุ่นนี้จะค่อนข้างเป็นหูฟังที่มีน้ำหนัก (หูฟังตัวนี้มีน้ำหนัก 334 กรัม)
รวมถึงการออกแบบให้หูฟังตัวนี้มีส่วนหูที่พับปรับมุมได้ ทำให้เวลาใช้แนบรับกับโครงศรีษะของแต่ละคนได้อย่างลงตัว ต่างจากการออกแบบที่ใช้โครงบิดตัวเพียงอย่างเดียว ถ้าทำมามีการให้ตัวไม่ดี จะกดทับสร้างความรู้สึกอึดอัดไม่สบายเวลาฟังต่อเนื่องได้
การใส่นาน ๆ ในสภาพอากาศแบบบ้านเรา ก็มีเหงื่อซึมนิด ๆ เหมือนกันนะครับ วิธีแก้คือฟังสักพักก็ขยับหูฟังเพื่อระบายซักทีนึง
แต่ถ้าฟังอยู่ในบ้าน หรือในที่อากาศเย็นก็ไม่เป็นปัญหา สามารถใส่ทำงานออฟฟิศได้ เจ้านายต่อว่า หรือเพื่อนร่วมงานนินทาเราก็ไม่ได้ยิน (เพราะอะไรเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง) ที่แปลกคือหูฟังตัวนี้ถ้าได้ลองใช้งาน แม้ขณะที่เราไม่ได้สวมใส่ เราจะนึกถึงความรู้สึกตอนสวมใส่ได้อย่างชัดเจนมาก
สรุปว่าเรื่องใส่สบาย ถือว่าสอบผ่านแบบที่ต้องยืนขี่คอปรบมือให้
ถ้าเทียบเรื่องการออกแบบกับหูฟังในระดับเดียวกันของ Sony รุ่น WH-1000XM4 ของ Sony ต้องบอกว่าคนละแนวทางอย่างชัดเจน Sony เป็นแนว Modern เส้นสายเรียบง่าย ส่วน Shure Aonic 50 จะออกไปทางหรูหรา แต่ก็ดูดีทั้งคู่อยู่ที่ความชอบของแต่ละคน
ยังมีอีกตัวนึงคือ Sennheiser Momentum 3 ตัวนั้นการออกแบบเป็นแนวคลาสสิคสไตล์
เวลาใส่ใช้งาน Sony จะดูเรียบกว่า ไม่เป็นที่สังเกตของคนรอบข้าง
ส่วนเรื่องการสวมใส่ ส่วนตัวได้มีโอกาสไปลอง Sony WH-1000XM4 ความรู้สึกคือโครงสร้างเล็ก และเบากว่า* Shure Aonic 50 อย่างรู้สึกได้ สวมใส่สบายเช่นกันครับ
* เบากว่าประมาณ 80 กรัม
...
Shure Aonic 50 เป็นหูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Canceling (ANC)
ซึ่งขออธิบายวิธีการทำงานของระบบตัดเสียงของหูฟังประเภทนี้เพื่อเป็นพื้นฐานนิดนึงนะครับ
หูฟังที่มีระบบ Active Noise Canceling
จะใช้วิธีรับเสียงภายนอกเข้าไป แต่เสียงนั้นเขาไม่ได้ส่งผ่านให้เราได้ยิน แค่เปิดรับไปประมวลผล สร้างสัญญานหักล้าง แล้วค่อยปล่อยเสียงเพลงมาให้เราฟัง เหมือนเอาไปเป็นตัวเทียบเพื่อคัดแยก
แต่ด้วยความที่หูฟังดี ๆ ระบบมันทำงานเร็ว และค่อนข้างแม่นยำมาก อย่าง Shure Aonic 50 ถ้าเปิดระบบนี้เสียงรอบข้างนี่แทบจะไม่มีเลย
สำหรับ Shure Aonic 50 ขอบของหูฟังด้านขวาจะมีสวิตซ์สำหรับใช้ปรับระดับเสียงรอบข้างมาให้
•Max เงียบมาก
•Normal เงียบแต่ไม่สนิท พอฟังเสียงภายนอกได้
•Environment Mode เปิดรับเสียงภายนอกให้ได้ยินตามปกติ
(ถ้าใช้ App Shure Play จะปรับ Mode นี้ได้ 10 ระดับ)
สำหรับใช้งานปกติเปิด Normal ก็พอครับ Max เอาไว้เวลาฟังในที่เสียงรบกวนมาก ๆ เช่นเวลาเดินทางบนเครื่องบิน
และเวลาใส่ควรปรับมุมหูฟังให้แนบสนิทด้วยนะครับ จะช่วยเรื่องการฟัง และตัดเสียงรบกวน โดยเฉพาะ Shure Aonic 50 สามารถพับเป็นมุมเฉียงไปทางด้านหลังได้
...
ระบบการเข้ารหัสบีบอัดที่รองรับ
Shure Aonic 50 เป็นหูฟังที่รองรับ Codec ได้หลายรูปแบบ เป็นลำดับต้น ๆ
Qualcomm® aptX™, aptX™ HD, aptX™ Low Latency audio, Sony LDAC, AAC, and SBC
ทำให้สามารถเลือกฟังเพลงจากแหล่งกำเนิดเสียงคุณภาพสูงได้แบบไม่ต้องกังวลว่ามีเพลงดี ๆ แต่เล่นไม่ได้เพราะหูฟังไม่รองรับ
Shure Aonic 50 มีช่อง Audio Jack แบบ 2.5 มม. บนหูฟัง สามารถใช้สายที่ให้มาเสียบ แล้วนำอีกด้านของสายที่เป็น Jacl 3.5 มม. ไปเสียบกับอุปกรณ์ที่รองรับเพื่อใช้ในการรับสัญญาณเสียงได้ เผื่อว่าใครไม่อยากฟังแบบ Bluetooth
นอกจากนั้นแล้วสามารถเชื่อมต่อแบบ USB เพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์โดยตรงได้
สรุปว่าเรื่องการรองรับการเข้าหรัส และการเชื่อมต่อ Shure Aonic 50 มีมาให้ครบมาก...
ความสะดวกในการใช้งาน
Shure Aonic 50 มีระบบควบคุมการทำงานแบบตรงไปตรงมา เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ใช้ควบคุมผ่านสวิตช์บนตัวหูฟังเป็นหลัก เปิดปิด เชื่อมต่อ Bluetooth เบาค่อย หรือเลื่อนเพลงหน้าหลัง ก็กด ๆ เอา ระบบ Active Noise Canceling ก็ใช้สวิตช์ที่แยกมาต่างหาก
แรก ๆ ก็สับสนบ้างครับ แต่พอชินและจับจุดได้ โดยใช้ปลายนิ้วสัมผัสเพื่อหาปุ่มกลาง (ปุ่มกลางจะมีส่วนที่นูนยื่นออกมามากกว่าปุ่มอื่น) เราก็จะเลือกสั่งงานได้โดยไม่ยาก
แต่ถ้าเทียบกับหูฟังในระดับเดียวกันอย่าง Sony WH-1000XM4 หรือ Sennheiser Momentum 3 ตัว Shure Aonic 50 วิธีการควบคุมการทำงานจะไม่หวือหวาเท่า อย่างของ Sony แม้ว่าจะมีปุ่มไม่มาก แต่จะใช้ระบบสัมผัสที่อีกด้านของหูฟังสั่งงาน หรืออย่าง Momentum 3 ของ Senheiser ก็มีตัวตรวจจับ การใช้งาน เช่น ถ้าเราถอดวาง เพลงจะหยุดให้เอง หรือถ้าพับเก็บหูฟังก็จะปิด ซึ่งทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
Shure Aonic 50 มี App สำหรับควบคุมชื่อว่า Shure Play สามารถปรับตั้งฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในการทำงานของหูฟังได้ อย่างเช่นเลือกระบบ Active Noice Canceling ที่พูดถึงก่อนหน้า รวมถึงสามารถ ดึงเพลงจาก iTunes และ Apple Music มาใช้งานได้ แต่ตอนนี้ต้องขอยอมรับว่าบน iOS ยังหาวิธีดึงเพลงมาไม่ได้เลยครับ ทำตามขั้นตอนที่แจ้งไว้ทุกอย่าง แต่หาเพลงไม่เจอ อาจเป็นเพราะตอนเด็ก ๆ เคยเดินเตะปลั๊กตู้เพลงหยอดเหรียญที่กำลังเล่นอยู่ก็เป็นได้
ถ้าทำได้ก็คงจะดีเพราะว่าสามารถ EQ เสียงผ่านทาง App ได้เลย อีกอย่างคือเรื่องของ Firmware เราสามารถ Update ได้ผ่านทาง App ที่ว่า ใครซื้อมาลองตรวจสอบดูครับ เพราะ Firmware ตัวล่าสุดปรับปรุงเสียงไมโครโฟนที่ติดมาให้ดีขึ้น
ที่มีไมโครโฟนเพราะหูฟังตัวนี้สามารถใช้คุยโทรศัพท์ได้ด้วยครับ แต่เท่าที่ลองดูเสียงที่ได้จากไมโครโฟน คุยโทรศัพท์พอไหว แต่ยังไม่ถึงกับเอาไปลงเสียงร้องหรือบรรยายได้คุณภาพดี ๆ เหมือนไมโครโฟนที่ทำมาโดยเฉพาะ
...ฟังเพลงเพราะหรือเปล่า?
ตัวเลข 50 ที่ต่อท้ายชื่อ ชื่อ Shure Aonic ไม่ได้ใส่ไว้ให้ดูเล่น ๆ แต่มีที่มาที่ไปจาก Driver หูฟังขนาด 50 มม. ถือว่าใหญ่มากเลยนะครับ เพราะโดยปกติที่เห็นก็ราว ๆ 40 มม.
ขนาด Driver ที่ใหญ่มีส่วนช่วยในการทำงานให้เสียงออกมาดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขนาดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเรื่องคุณลักษณะของเสียงเสมอไป เพราะมีเรื่องของการออกแบบ และการปรับแต่งตัวหูฟังประกอบด้วย ต้องลองฟังเสียงจริง ๆ ดูอีกทีนะครับ
ช่วงที่ได้มาตอนแรก ๆ Shure Aonic 50 เสียงจะอั้น ๆ หน่อยครับ เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ เสียงที่ถูกขับออกมาจะเป็นประกายเฉิดฉายมาก เพราะฉะนั้นถ้าไปลองที่ร้านควรลองตัวที่ใช้เป็นตัวอย่างนั่นแหละครับ ถ้าลองของใหม่เลยอาจจะไม่ได้รับฟังสิ่งที่เป็นได้อย่างเต็มที่ และอีกอย่างของใหม่ ๆเวลาใส่จะดูแน่น ๆ ไม่ค่อยนิ่มโอบรับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ส่วนตัวใช้ไปราว ๆ 2-3 สัปดาห์ ใช้งานทุกวันวันละประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็พอจะเข้าที่เข้าทางครับ
เสียงที่ได้จาก Shure Aonic 50 จะเป็นแนวที่เน้นความไพเราะเสนาะหู และความสุนทรีย์ในการฟัง ฟังเพลงได้หลายแนว และฟังยาว ๆ ได้ไม่ล้า (ฟังนาน ๆ อย่าลืมขยับหูฟังบ้างนะครับ)
แนวทางของเสียงที่รับรู้ได้อย่างแรก คือ เบสที่ไม่ถึงกับลงลึกมาก แต่มาแบบกระชับ รับได้ทุกลูก จะมาห่าง ๆ หรือรัว ๆ ถี่ ๆ จัดการได้หมด ไม่มีบวม ไม่มีซ้อนทับให้จังหวะสะดุด
เพลงที่คิดว่าลองฟังแล้วโดดเด่นจับอาการเบื้องต้นได้ง่ายก็อย่าง “Don’t Start Now” ของ Dua Lipa เสียงเดินเบสมาเป็นลูกชัดเจน หยุดเป็นหยุด ไม่มีบวมค้าง เสียงนักร้องที่ปล่อยลอยก็มี Space ให้ไปต่อ ไม่อั้น ๆ ทึบ ๆ ไปไม่สุด ซึ่ง เพลงแนว Pop Dance มักจะแต่งเสียงส่วนใหญ่มาในลักษณะนี้
ลงตัวกับแนวเพลง K-Pop สามารถฟังด้วย Shure Aonic 50 สนุก ไม่ว่าจะเป็น 2NE1, BTS, Blackpink, 2PM etc.
เพลงที่อยากให้เตรียมไปลองฟังเพื่อพิจารณา คือ เพลง “Dance Monkey” ของ Tone and I เสียงร้อง และดนตรีของเพลงนี้ น่าจะพอช่วยให้เห็นคุณลักษณะของเสียงที่หูฟังตัวนี้ขับออกมาได้ชัดพอสมควร
นอกจากแนว Pop Dance แล้ว เพลง Pop ใส ๆ อย่าง “She Will Be Loved” ของ Maroon 5 ที่เน้นเสียงร้องโหน ๆ ของ Adam Levine ก็ฟังได้สบายหู เสียงที่ลากขึ้นลงราบรื่นต่อเนื่อง
แต่หูฟังคลาสนี้ถ้าเพลงร้อง และบันทึกเสียงมาไม่ดี จะฟังไม่สนุกนะครับ เพราะมันจะค่อนข้างขี้ฟ้องหน่อย
เพลงต่อมาที่คิดว่าน่าใช้ลองฟังก็ “1973” เสียงแหบเล็ก ๆ ของ Jame Blunt เข้ากันได้ดีกับทำนองของเบส และเครื่องเคาะที่เป็น Backgroud ได้อย่างพอเหมาะ ส่วนตัวได้ลองฟังเพลงนี้เทียบกับหูฟังหลายรุ่น ส่วนใหญ่เสียงร้องจะค่อนข้างจมไปกับดนตรี และเสียงเบสจะบวม ๆ นัว ๆ ไม่กระชับ แยกชิ้นดนตรีและเสียงร้องได้ไม่ชัดเจน ผิดกับที่ฟังจาก Shure Aonic 50 ได้อรรสกว่ามาก
ทีนี้ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงแนว Jazz บ้าง เสียงร้องของ Lyn Stanley ในเพลง “All or Nothing at All” (feat. Cristian Jacob) ดูเหมือน Shure Aonic 50 จะเข้ากันได้ดีกับเพลงแนวนี้มาก ไพเราะ ฟังเพลิน ความถี่ในช่วงเสียงร้องชัดเจน เสถียรต่อเนื่องทุกถ้อยคำ และช่วงที่ปล่อยเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นออกมาโซโล คุณลักษณะเสียงของเครื่องดนตรีต่าง ๆ ถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจน ยังแอบคิดอยู่ว่าถ้านักดนตรีที่มีความชำนาญ มาฟังคงจะสนุกมาก
แต่ที่ชอบเป็นการส่วนตัว คือ เอา Shure Aonic 50 มาฟังเพลงแนว Acustic Folk หรือ Country Folk อย่างของ James Taylor , John Denver หรือ Simon Gafunkel ที่บันทึกเสียงดั้งเดิมแนวต้นฉบับ เสียงที่ได้รักษาบรรยากาศ และ Sound แบบยุคนั้นได้ดีมาก โดยที่คงไว้ซึ่งรายละเอียดของเสียงร้อง และดนตรี
เช่น เพลง “Bridge Over Troubled Water” ของ Simon & Garfunkel นอกจากเสียงร้องที่หวานโดดเด่นของ Art Garfunkel ก็ยังรู้สึกเพลินไปกับเสียงเปียโน ที่รับรู้ได้ถึงน้ำหนักนิ้วที่เคาะลงบนคีย์ หนัก เบา แทบจะทั้งเพลง (แต่เพลงนี้ส่วนตัวไม่ชอบช่วงท้าย ๆ ที่กระหึ่ม ๆ ฟังดูรก ๆ )
“Rhymes and Reasons” ของ John Denver เวอร์ชั่นที่ใช้ฟังจะได้อารมณ์แบบการบันทึกเสียงในยุคนั้น เสียงกีตาร์ในช่วงแรกฟรุ้งฟริ้งมาก เสียงร้องเพลงนี้ชัดแต่ไม่ถึงกับกระโดดออกมามาก เพดานเสียงมีอั้น ๆ หน่อย เหมือนตอนบันทึกมาต้องการให้เป็นแบบนี้
ซึ่งถ้าฟังเทียบกับ “Follow Me” อีกเพลงของ John Denver เพลง “Follow Me” ดูจะได้ความไพเราะใสกังวาลตามแบบฉบับเนื้อเสียงของ John Denver มากกว่า
ส่วนเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเฉิดฉายมากน่าจะเป็นเพลงของ James Taylor อย่าง “Carolina in My Mind” หรือ “You’ve got a friend” ฉบับ Remaster เสียงกีตาร์ เสียงร้อง เสียงประสาน ฟังแล้วได้รู้สึกถึงความสามารถของศิลปินระดับตำนาน การเรียบเรียง การบันทึกเสียง มีความเคลียร์ใสและมีมิติมาก เสียงกีตาร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ James Taylor ถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนจากหูฟังตัวนี้
แนวเดี่ยวเปียโน ก็ฟังจากหูฟังตัวนี้ได้อย่างออกอรรถรสเช่นกันครับ ลองเปิด Album ของ Keith Jarrett นี่เหมือนมานั่งเล่นให้ฟังตรงหน้าโซฟาที่บ้าน
หรือถ้าใครอยากได้ความรู้สึกเหมือนมีเปียโนเล่นบนเวที และนักร้องมาร้องอยู่ข้าง ๆ เราในผับ ลองฟัง “Don’t Smoke in Bed” ของ Nina Simone เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ มายืนร้องข้าง ๆ โต๊ะ ชัดเจนจนน่าตกใจว่าเพลงจบจะต้องเตรียมตังค์ยื่นทิปให้หรือเปล่า
...
เรื่อง Soundstage สำหรับ Shure Aonic 50 มีมิติของเสียง ตำแหน่งเครื่องดนตรีแยกได้ชัด แต่ก็ยังพยายามรักษาความกลมกลืนเอาไว้ ไม่แข่งกันดัง หรือชัดจริงแต่ไปคนละทิศคนละทาง
เสียงที่ได้มีความกว้างความลึกเป็นพื้นที่เต็มวง แต่ไม่ถึงกับกว้างสุดลูกหูลูกตา
เมื่อลองเปิดเพลงที่บันทึกจากคอนเสิร์ท ก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศ แต่ฟังแบบบันทึกเสียงในสตูดิโอมาดี ๆ ดูจะแสดงประสิทธิภาพของหูฟังตัวนี้ได้ชัดเจนกว่า
ใครที่ไม่เคยฟังหูฟังที่ให้ Soundstage มาก่อน จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนเปิดไปอีกโลกหนึ่งในการฟัง และพอกลับไปฟังแบบธรรมดาก็จะรู้สึกไปสนุกแล้ว
…
Shure Aonic 50 ใช้เล่นเกมส์ได้หรือเปล่า
ใช้เล่น PUBG Mobile การต่อแบบไร้สายจะมี Delay นิด ๆ ตามลักษณะที่เป็นหูฟัง Bluetooth มีขาดเป็นช่วงสั้น ๆ บ้างนาน ๆ ที
แต่ถ้าการเล่นเกมส์คือจุดประสงค์หลักและต้องการใช้หูฟังตัวนี้จริง ๆ ให้ใช้สายเชื่อมต่อ Jack 3.5 มม. ที่ให้มาต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้เล่นเกมส์ น่าจะลงตัวกว่า เพราะว่าเวลาเล่นเกมส์ ความต่อเนื่อง และการตอบสนองเหตุการณ์เป็นเรื่องสำคัญ การใช้สายสัญญานต่อโดยตรงตอบโจทย์ในเรื่องความต่อเนื่องของสัญญาณมากกว่า
ส่วนเรื่องของเสียงที่ได้ยิน กินขาดเรื่องรายละเอียด เสียงเท้าหนักเบารับรู้ได้ ตำแหน่งศัตรูค่อนข้างแม่น ที่ดีมาก ๆ คือเสียงปืนเวลายิงต่อเนื่องไม่แตกพร่าแผดเสียงแสบแก้วหู ดังจริงแต่นุ่ม ใช้ตัวนี้กินไก่บ่อยมาก
ส่วนตัวคิดว่าถ้าจะซื้อมาเพื่อเล่นเกมส์จริงจัง ราคาหูฟังตัวนี้ค่อนข้างสูงเกินความจำเป็น เหมาะกับการซื้อมาฟังเพลงมากกว่า
….
สรุป
Shure Aonic 50 เป็นหูฟังที่ดูดีมีคลาสทั้งการออกแบบ และซุ่มเสียง มันจะค่อนไปทางหรูหรา เวลาฟังเหมือนนั่งฟังเพลงในคลับ ลอบบี้เลาจน์ หรือบนโซฟานุ่ม ๆ ที่บ้าน แม้ว่าเราจะนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ ระหว่างเดินทางบนรถไฟฟ้า หรือบนเครื่องบิน ที่บรรยากาศรอบข้างไม่เอื้อต่อการฟังเพลงก็ตาม
Shure Aonic 50 รองรับการฟังเพลงได้กว้างหลากหลายแนว ทั้งแนว Pop สมัยใหม่ เพลงอคูสติก โซล แจ๊ส ฟังค์ ร็อค แดนซ์ คอนเสิร์ท คลาสสิค ฯลฯ เน้นฟังเพลงเพื่อความไพเราะปล่อยอารมณ์
หมายเหตุ : ลักษณะเสียงของหูฟังตัวนี้มีตึบ ๆ แต่ไม่ตึ้ม ๆ ถ้าชอบแบบเบสลึก ๆ ให้ลองเทียบกับ Sony WH-1000XM4 ตัวนั้นมาแบบตูม ๆ ฟังเพลงเร็ว ๆ ใจสั่นระรัวตามจังหวะ อันนี้ก็แล้วแต่ชอบ
...
ในเรื่องของระบบ Active Noise Canceling ลดเสียงรบกวนได้ดี ไม่อุดอู้อับทึบเกินไป เมื่อเปิดระบบนี้เสียงที่ได้ยินยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ค่อนข้างมาก นั่งฟังเพลงในบรรยากาศรอบข้างที่มีเสียงรบกวนได้สบาย ๆ ฟังนาน ๆ ไม่รู้สึกอึน ๆ ถ้าใครเคยใช้หูฟังประเภทตัดเสียงรบกวนมาคงจะเข้าใจ ถ้าทำมาไม่ดี เสียงจะอับทึบ และเสียงพูดเสียงร้องขาดความถี่ที่ควรจะมี ให้เสียงไม่ครบออกมาคล้ายหุ่นยนต์
(ถ้าเสียงรอบข้างไม่ดังมากเปิดแค่ Normal ก็พอครับ)
แต่ด้วยขนาด น้ำหนัก และการพับเก็บ การพาไปไหนมาไหนด้วยต้องมีพื้นที่จัดเก็บ แม้ว่า Shure Aonic จะให้กระเป๋าทรงกลม Semi-Hard Case มาด้วย แต่ก็ยังดูใหญ่พอสมควร ใช้ใส่ไว้ในเป้สะพายหลังน่าจะลงตัวสุด
...
สุดท้ายสำหรับการเลือกหูฟังมาใช้งาน คือต้องไปลองด้วยตัวเองครับ รสนิยม และความชอบในการฟังเพลงของแต่ละคนแตกต่างกัน ดีสำหรับคนนึง แต่อาจไม่ลงตัวสำหรับแนวเพลงที่เราฟัง หรือลักษณะเสียงที่เราชอบก็ได้
ที่เขียนมาก็เพื่อให้ได้ทำความรู้จัก Shure Aonic 50 เป็นแนวทางในเบื้องต้น รับรู้ถึงการมีอยู่ของหูฟังรุ่นนี้ ถ้ากำลังมองหาหูฟังไร้สายที่ค่อนข้างครบเครื่อง ลองใส่ตัวนี้เพิ่มเข้าไปในรายการทดลองฟังเสียงดูอีกตัวนะครับ
#Mahajak #Shure #Mahajaklife #AONIC50 #SHUREThailand #2how
https://www.mahajak.com/th/aonic-50.html
「เพลง pop คือ」的推薦目錄:
เพลง pop คือ 在 Pyong Traveller X Doctor Facebook 的最佳解答
10 Meaningful Songs of All Time
by ED SHEERAN
สวัสดีครับ ผมเปียง เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับหลายๆวันที่ผ่านมา ยังสบายดีไหมครับ? ผมเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยทุกท่านเพื่อผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกันนะครับ ในช่วงสถานการณ์ self-quarantine นี้ ผมจึงตั้งใจเขียนคอนเทนต์เบาๆอยากนำบทเพลงเพราะๆ ของศิลปินที่ผมชื่นชอบมาเล่าให้ฟังกันครับ สำหรับ Ed Sheeran เป็นนักร้องชายที่ผมติดตามผลงานมาเป็นเวลานานมาก และใน playlist ของผมตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ จะมีการเพลงของคนคนนี้แซมอยู่ตลอด ใครเคยฟัง Photograph, Shape of You หรือ Thinking out Loud บ้างหรือเปล่าครับ นั่นแหละครับ เพลงของ Ed Sheeran
แม้เป็นผู้ชายก็ต้องหลงรักเพลงของพ่อหนุ่มคนนี้ครับ เพราะความพิเศษของ Sheeran นอกจากเสียงที่นุ่มและไพเราะมากแล้ว ก็คือความสามารถในการสร้างบทเพลงรักติดหูที่มีความลงตัวในทุกๆองค์ประกอบ ตั้งแต่ท่วงทำนอง จังหวะ เรื่องราวการพรรณนาต่างๆในเพลง และ มิวสิควิดีโอ สิ่งที่เพลงของเขาทำได้ดีคือการทำให้เราจินตการตามและเห็นภาพตามบทเพลงครับ เหมือนการรื้อเก๊ะใส่ความทรงจำที่ถูกด้นเข้าไปอยู่ด้านในสุด นำออกมาปัดฝุ่น และพินิจมันอย่างดี ก่อนนำเอาความทรงจำเหล่านั้นไปตั้งใหม่ ในที่ที่มันควรค่าจริงๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากฟังเพลงเหล่านี้ มันทำให้ผมค่อยๆอินกับมันจนถึงในจุดที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า Sheeran เป็นศิลปินในดวงใจอย่างแท้จริง
ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาครับ เชื่อหรือไม่ ว่าจริงๆแล้ว Ed อายุเพียงไม่ถึง 30 ปี นะครับ เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง ชาวอังกฤษ และด้วยความน่ารักอารมณ์ดีของ Sheeran ทำให้แกเป็นนักแสดงด้วย โดยรับบทบาทหลากหลายในภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และ ซิทคอมหลายเรื่องเช่น Shortland Street ,Bridget Jones's Baby, Game of Thrones ,The Simpsons และหลายๆคนอาจจะไม่ทราบ แต่ Ed ยังได้ร่วมแสดงใน Star Wars 2019 ภาคล่าสุดด้วย ในบท Stormtrooper ตัวยิงๆชุดขาวนั่นแหละครับ ถือว่าเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเพลงของ Sheeran ขายไปแล้วกว่า 150 ล้านอัลบั้มทั่วโลก ทำให้เขาเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก และได้รับฉายาจาก Official Charts Company ที่เป็นองค์กรในการจัดอันดับชาร์ทเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดทั้ง 4 ชาร์ทของประเทศอังกฤษว่าเป็น "ศิลปินแห่งทศวรรษ" เมื่อปลายปี 2019 ที่ผ่านมา ผมได้รวบรวมประวัติที่หาได้มาเล่าให้ฟัง ประวัติแกน่าสนใจมากๆ
Ed Sheeran ชื่อเต็มว่า Edward Christopher Sheeran เริ่มต้นการฝึกร้องเพลงจากการเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ด้วยวัยเพียงแค่ 4 ขวบ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มในการเดินทางสายนักร้องของเขา ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากวนใจบ้างอย่าง เช่น การมีปัญหาในการพูดติดอ่าง แต่คุณพ่อของ Ed ไม่ได้เห็นเป็นอุปสรรคใหญ่ใดๆ คุณพ่อได้ฝึกให้เขาทำดนตรีบำบัดด้วยการให้ฝึกฟัง อัลบั้มเพลงแร็พ ของศิลปิน Eminem และหัดออกเสียงตาม จนหายจากอาการนั้น เมื่ออายุ 11 ขวบได้เริ่มเล่นกีตาร์ และเริ่มฉายแววการเป็นศิลปินขึ้นเรื่อยๆจากการแสดงละครเวทีของโรงเรียนหลายๆเรื่อง จนบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นตั้งฉายาให้เขาว่า "ว่าที่ซุป'ตาร์" เลยทีเดียว กระทั่งปี 2004 ก็ได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดงละครเวที Frankenstein ของ British Youth Music Theatre ในลอนดอน และก่อนที่จะก้าวมามีชื่อเสียงระดับโลก Ed Sheeran เคยเป็นศิลปินอินดี้ตามท้องถนนเฉกเช่นศิลปินนักร้องนักดนตรีทั่วไป ตระเวนเล่นดนตรีเปิดหมวกทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ก้าวสำคัญของเขาเมื่อกำลังเล่นดนตรีริมถนนใน Los Angeles และได้เจอกับ Jamie Foxx นักแสดงฮอลลีวูดโดยบังเอิญ ซึ่ง Foxx กำลังทำรายการ Foxxhole ของตัวเองอยู่พอดี นั่นทำให้ Ed Sheeran ได้ไปปราฏตัวในรายการของ Jamie Foxx ถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก เพราะหลังจากนั้น Foxx ก็ได้ชวนเขาไปอัดเพลงในสตูดิโอส่วนตัวอีกด้วย
Sheeran มีอัลบั้มแรกชื่อ Spinning Man แต่งเองตอน 15 ปี และสั่งสมประสบการณ์ในการตระเวนแสดงดนตรีสดตามที่ต่างๆ จนได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับค่าย Asylum Records ออกอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกในชีวิตที่โด่งดังมากในเดือนกันยายน ปี 2011 คือ The A Team จากอัลบั้ม + (plus) นั่นเอง และในปลายปี Ed Sheeran ก็ได้รับรางวัล Brit Awards สาขาศิลปินชายยอดเยี่ยม และ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมด้วย
สำหรับอัลบั้มชุดที่ 2 ของเขา ในปี 2014 ใช้ชื่อว่า x (multiply) ถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากในแง่ของรางวัลการันตีและยอดขาย โดยถูกจัดให้เป็นอัลบั้มที่มียอดขายรวมทั่วโลกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปี 2015 และในปีเดียวกัน อัลบั้ม x ยังได้รับรางวัลอัลบั้มแห่งปี จากงาน Brit Awards และได้รับรางวัลนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีจาก British Academy of Songwriters, Composers and Authors อีกด้วย และความโด่งดังนั้นยังก้าวข้ามมาถึงปี 2016 ด้วยการที่เพลง Thinking out loud สามารถคว้ารางวัล Grammy Awards 2016 สาขาเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี และ ศิลปินเดี่ยวสาขาเพลง pop แห่งปี อีกด้วย
ต่อมาในปี 2017 ได้ออกอัลบั้มใหม่ใช้ชื่อว่า ÷ (divide) เพลงฮิต 3 เพลงที่รู้จักกันดีอย่าง Shape of you, Castle on the hill และ Perfect ขึ้นอันดับในชาร์ทเพลงทั้งในอังกฤษและอเมริกาอย่างรวดเร็ว เป็นศิลปินที่มีเพลงฮิตติดอันดับ 1 ใน 10 ของชาร์ทในคราวเดียวกันถึง 2 เพลง และซิงเกิ้ล "Perfect" ในอัลบั้มนี้ สามารถคว้าอันดับ 1 ในชาร์ท UK chart ,US chart และ AUSTRALIA chart ทั้งหมด และเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดของปี 2017ด้วย และล่าสุดในอัลบั้มที่ 4 มีชื่อว่า No.6 Collaborations Project ในปี 2019 เปิดตัวด้วยยอดขายเป็นอันดับ 1 ในอังกฤษ โดยทั้งซิงเกิ้ลใหม่ทั้ง 3 เพลง อย่าง I Don't Care, Beautiful People และ Take Me Back to London ติดอันดับ 1 ของ UK chart ทั้งหมด
สุดยอดไปเลยใช่มั้ยครับผู้ชายคนนี้ กุญแจของความสำเร็จที่ว่าคือความพิเศษของเนื้อเพลงและท่วงทำนองที่เกิดจากทั้งพรสรรค์และความพยายามที่หมั่นพัฒนาตัวเองอย่างไม่ลดละ ผมชื่นชมและรักในบทเพลงของแกมาก วันนี้ผมถือโอกาสนำเพลงที่ผมชอบมากๆจำนวน 10 เพลงมาเล่าให้คุณฟัง จะแทรกด้วยประวัติเล็กๆ เผื่อใครสนใจ และหากใครยังไม่รู้จักเพลงไหน รีบไปหามาฟังเสียนะครับ
สำหรับภาพที่ใช้เป็นพื้นหลังเป็นภาพอบอุ่นๆที่ผมถ่ายมาจากย่าน Marina Bay ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วง มีนาคม 2018
ใครชอบเพลงไหนของ Ed Sheeran แชร์โพสนี้แล้วพิมพ์ชื่อเพลงที่ชอบ และตั้ง public ไว้ เดี๋ยวผมจะตามไปคุยที่ wall นะครับ
เปียง
#EDSHEERAN
#PYONGDOCTOR
Director - Kantaphong Thongrong
Assistant Content Creator - Pratchawin Sara
FACEBOOK - PYONG Traveller X Doctor
INSTAGRAM - pycaptain
YOUTUBE CHANNEL - PYONG : Traveller X Doctor
WEBSITE - www.pyongtravellerxdoctor.com
เพลง pop คือ 在 Trasher , Bangkok Facebook 的最佳解答
Hustlers
ยอมรับว่าตอนแรกที่ปล่อยตัวอย่างเรื่อง Hustlers มา ความคาดหวังของเรื่องนี้คือต้องเป็นหนังผู้หญิงมัน ๆ กะเทยชอบ ดูเอาสนุก ไม่คิดมากแบบหนังเจโลทุกเรื่องอ่ะ เพราะจากเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับแกงค์ stripper ผู้หญิงเปลื้องผ้าใช้มารยาหญิงหลอกล่อผู้ชายด้วยการมอมยาแล้วเอาบัตรเครดิตไปรูด บวกกับกลุ่มนักแสดงแต่ละคนที่ตัวจี๊ดทั้งนั้นอย่าง Jennifer Lopez , Constance Wu จาก Crazy Rich Asian , Cardi B , Lizzo , Keke Palmer คือยังไงมาทางนี้แล้วเราก็อาจจะได้หนังบันเทิงไร้สาระดูแล้วจบ ๆ ไปเรื่องนึง
แต่ความ surprise คือหนัง Hustlers มันไปไกลได้กว่าที่เราคิดเว้ย แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนคาดหวังว่ามันจะแซ่บ จะฉาว เซ็กซี่ มันตอบโจทย์ตรงนี้แน่นอน โดยเฉพาะครึ่งแรกที่พาเราไปสำรวจโลกของ stripper ในยุครุ่งเรื่องที่สาว ๆ ได้เงินกันเป็นกอบเป็นกำว่ามันสนุกแค่ไหนผ่านฉากเม้าส์มอยหลังเวที ฉากการเต้นยั่วผู้ชายด้วยเพลง POP ที่เราคุ้นหู เสื้อผ้าแสงสีที่เหมือนหลอกล่อให้เราหลงเข้าไปในโลกของพวกเธอ นม ตูด ง่ามแ*ด. ที่โยกใส่หน้าหนุ่ม ๆ นักธุรกิจที่เข้ามาใช้บริการพวกเธอก็เหมือนกระแทกใส่หน้าคนดูไปด้วยเลย คือครึ่งแรกกะเทยชะนีดูไปก็ต้องจองเป็นคนนู้นคนนี้แน่นอน แม้แต่ตอนที่พาร์ทที่แกงค์เพื่อนสาวดาวเต้นกลายเป็นโจรวางยาแล้ว ทุกอย่างยังถูกดีไซน์มาราวกับอยู่ในมิวสิกวิดีโอ เราเองยังอยากเป็น อยากมีชีวิตเหมือนพวกนางเลย
เราชอบพาร์ทหลังที่หันมาเล่นกับสภาพสังคมที่บีบบังคับให้ชีวิตพวกนางต้องสู้ รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อของพวกนักธุรกิจ wallstreet ที่ทำให้เศรษฐกิจพังแต่ไม่เคยต้องรับผลกรรมใด ๆ ชีวิตยังเสพสุขกันอยู่ ในขณะที่คนระดับล่างต้องดิ้นรนต่อสู้หาเช้ากินค่ำต่อไป
แน่นอนว่าหนังรวมผู้หญิงแบบนี้ Theme หลักเรื่องมิตรภาพ เพื่อนหญิงพลังหญิงต้องมาแน่นอนอยู่แล้ว และหนังก็ทำได้ดีมาก ๆ ในพาร์ทของราโมน่า ( คาแรคเตอร์ J.Lo ) กับ เดสทินี่ ( Constance Wu ) ผู้่หญิงสู้ชีวิตสองคนที่ทำทุกอย่างเพื่อลูก สัญชาติความเป็นแม่ การดิ้นรเอาตัวรอดในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่แล้วพวกเธอต้องลุกขึ้นมาสู้ หลาย ๆ อย่างที่สองคนนี้เหมือนกันและดูรักเและเข้าใจกันมาก แม้จะทรยศหักหลังบาดหมางกันยังไง ก็ยังรักและเป็นห่วงใยกันแบบตัดกันไม่ลง
Jennifer Lopez คือทุกสิ่งทุกอย่างของหนังเรื่องนี้ ใครด่าแม่ฉันเรื่องนี้ไม่ได้่จริง ๆ นางไม่ได้เล่นใหญ่ ไม่ได้มีซีนอารมณ์อะไรมากมาย นางเป็นนางนี้แหละ แต่หนังเรื่องนี้ใช้ประโยชน์จากความเป็นนางได้ดีที่สุด นางคือหัวหน้า คือ center of attention ทุกครั้งที่อยู่บนจอ เราชอบพวกซีนคุยสัพเพเหระบนโต๊ะอาหาร รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและสัมผัสได้ถึงพลัง positive ที่ทำให้ตัวละครตัวนี้เอาทุกคนอยู่ เป็นแม่ เป็นแม่เล้า เป็นพี่สาว นางเอาอยู่หมด ถ้าได้ชิงออสการ์ก็คือไม่น่าเกลียด ให้นางไปตั้งแต่ฉากเปิดตัวกับการเต้นเปลื้องผ้ากับเพลง Criminal ของ Fiona Apple ก็คือตายไปเลย
ส่วนนักแสดงสบทบเรื่องนี้ก็คือขโมยซีนกันไปคนละนิดละหน่อยทั้ง Cardi B ที่มาสอนเต้น Lap dance หรือ Lizzo ที่ออกมาเป่าฟลุ๊ท เด้งตูด นิดหน่อย แต่ก็สร้างสีสันให้กับเรื่อง
สิ่งหนึ่งที่เด่นมาก ๆ อีกอย่างคือ Soundtrack การเลือกใช้เพลงต่าง ๆ คือจะลุกขึ้นเต้นให้ได้ ตั้งแต่เปิดเรื่องด้วยเพลง Control ของ Janet Jackson ที่เหมือนจะบอกเรื่องราวของสาว ๆ กลุ่มนี้ว่า ชะตาชีวิตฉันฉันจะควบคุมมันด้วยตัวเอง แล้วยังเต็มไปด้วย soundtrack เพลง hip hop ยุค 2000's อย่าง Love In This Club , Club Can't Handle Me , Beautiful Girls และที่ชอบที่สุดคือการใช้เพลง Royal ของ Lorde ในฉากนึงของหนังคือดีมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง มันขัดแย้งดี แล้วก็ Gimme More ของ Britney Spears ทีเข้ากับเรื่องนีสุดๆ
สำหรับเราหนังสนุกมาก ติดหนึ่งหนังโปรดปีนี้แน่ ๆ ได้ทั้งความบันเทิงและไปไกลกว่ากว่านั้นด้วยการเป็นหนังที่พูดถึงการต่อสู้ชีวิตที่เข้มข้นดี
หนังเข้าแล้ว ไปดูกันเยอะ ๆ เลย
#hustlersmovie
เพลง pop คือ 在 MR Arranger - ชื่อเรียกแนวเพลงต่างๆ 1.pop 2.dance ... - Facebook 的推薦與評價
ชื่อเรียกแนวเพลงต่างๆ 1.pop 2.dance pop 3.rap 4.pop dance 5.rock 6.post-teen pop 7.pop rap 8.latin 9.hip ... แต่ปัญหาคือการจะเข้าถึง วิถีของแนวนั้นจริง ๆ ... <看更多>
เพลง pop คือ 在 เพลง POP คืออะไร ? | PODCAST - YouTube 的推薦與評價
Guru by DJ LAB EP2 - เพลง EDM คือ อะไร ? ... タイポップ : T- POP History : Thai Pop Culture Music : ประวัติศาสตร์ เพลง ไทย ( Japanese subtitle ). ... <看更多>