"ประเทศที่เหมาะแก่การสร้างครอบครัว"
จากการจัดลำดับของ Asher &Lyric แก่ประเทศในหัวข้อข้างต้นของปี 2020 พบว่าเยอรมนีคือประเทศที่ได้รับอันดับที่ 7 ในหัวข้อดังกล่าวโดยตามหลังประเทศอย่าง Iceland, Sweden, Denmark, Norway, และ Finland(เป็นต้น)
แต่ในมุมมองของพ่อบ้านนั้นก็พบว่านี่ก็คือความภูมิใจและเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดที่เราเลือกตั้งครอบครัวที่นี่ (ก่อนหน้านี้พ่อบ้านมีโอกาสดีๆ ให้สามารถเลือกตัังครอบครัวได้อีก 2 ประเทศที่ไม่ใช่ประเทศไทย แต่ไม่ขอเอ่ยในที่นี้นะครับ)
โดยให้เหตุผลเมื่อเทียบกับผลคะแนนที่เค้าให้มาก็คือ
1. ด้านความปลอดภัย
ถึงแม้ว่า 10 อันดับแรกคะแนนของเยอรมันนั้นอาจจะได้น้อยที่สุด แต่ก็ไม่ได้ถือว่าน้อยจนเกินไป ส่วนตัวมองว่าถึงหลายๆ คนอาจจะบอกว่าเยอรมนีในปัจจุบันอาจจะไม่ได้ปลอดภัยลัลล้าเหมือนแต่ก่อน แต่ส่วนตัวพ่อบ้านเองก็ยังมองว่ายังถือว่าปลอดภัยในระดับนึง
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐาน, การรักษาความปลอดภัยที่เมื่อเกิดเหตุแล้วตำรวจสามารถมาได้รวดเร็ว, จนไปถึงเราสามารถเดินกลับบ้าน เดินเล่นในเมือง จนไปถึงเดินเล่นในป่าได้อย่างสบายใจ
ยิ่งล่าสุดทุกพรรคการเมืองแม้แต่พรรคที่สนับสนุนนโยบายด้านผู้ลี้ภัยอย่าง CDU ก็มีนโยบายว่าอย่างชัดเจนว่าจะไม่ทนต่ออาชญากรรมโดยเฉพาะที่เกิดจากผู้ลี้ภัยไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน จะต้องมีการลงโทษและส่งกลับทุกคน (แต่ผู้ลี้ภัยที่ดีเราก็ต้องยอมรับว่ามีทั้งดีและร้ายปะปนกันไป) ยิ่งน่าจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้
2. ด้านความสุข
นี่คือสิ่งที่พ่อบ้านได้จากที่นี่จริงๆ และเป็นข้อที่เยอรมันทำคะแนนได้ดี พ่อบ้านได้รู้สึกถึงความสุขในอีกรูปแบบนึงเมื่อมาอยู่ที่นี่ อย่างบอกไม่ถูก
อาทิ
- ความสุขในการที่มีความมั่นคงในชีวิต
- ความสุขที่มีความมั่นคงในแง่สุขภาพและความปลอดภัย
- ความสุขที่มีความมั่นใจในชีวิตตอนที่เราเกษียณถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รับราชการก็ตาม
และอื่นๆ ที่เราสัมผัสได้เมื่อเราเกิดปัญหาที่นี่ ว่าคนที่นี่หน่วยงานที่นี่ดูแลเราอย่างดีจริงๆ
3. ค่าครองชีพ
ข้อนี้เยอรมันอาจจะไม่ได้ มีคะแนนที่ดีมาก อาจจะเพราะค่าครองชีพในเมืองใหญ่ๆ ของเยอรมันนั้นไม่ได้ถูกเลยโดยเฉพาะราคาของอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าเช่าบ้าน
แต่ถ้าคุณมีบ้านอยู่แล้วอาทิได้รับมาจากมรดก อันนั้นจะหมดปัญหาไปได้เยอะมากๆ เพราะค่าใช้จ่ายหลักๆ ของคนเยอรมันโดยส่วนใหญ่นั้นก็คือค่าที่อยู่อาศัยและค่าประกันต่างๆ
แต่ส่วนตัวมองว่าค่าประกันนั้นเราจ่ายเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเราอันนี้ยอมรับได้
แต่ที่แน่ๆ คือราคาสินค้าพวกอุปโภคบริโภค หรือค่าโดยสารต่างๆ ถ้าเทียบกับรายได้แล้วถือว่าสมเหตุสมผล เรียกได้ว่าดีมากเลย
4. เรื่องของสุขภาพ
ถึงคะแนนจะออกมาปานกลาง อาจจะเพราะมีการเทียบกับในหลายๆ ส่วน
แต่ส่วนตัวพ่อบ้านขอบอกว่าเรื่องของการหาหมอที่เยอรมันนั้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วเรื่องการบริการนั้นอาจจะไม่ดีนัก เพราะที่นี่เค้าเน้นเรื่องของการรักษาเป็นหลักไม่ได้เน้นเรื่องบริการและธุรกิจ
แต่พ่อบ้านค่อนข้างมั่นใจเมื่อยามเจ็บป่วยหนัก เช่นการผ่าตัดและอื่นๆ ว่าคุณภาพของคุณหมอนั้นดีมากจริงๆ และที่สำคัญคือประกันของเยอรมันนั้นถือว่าดีมาก ซึ่งมาจนบัดนี้แล้วครอบครัวพ่อบ้านก็ผ่าตัดกันมาหลายคนแต่ก็มีทั้งไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย หรือมีเสียบางส่วน แต่ที่พ่อบ้านคือเคยเสียแต่น้อยมากเพราะขอเพิ่มเตียงพิเศษเอง เท่านั้น
5. เรื่องของการศึกษา
นี่คือจุดที่แข็งมากของเยอรมัน ที่พ่อบ้านขอชมว่าคนทุกคนที่นี่มีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาแบบเท่าเทียมและมีคุณภาพจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ในเขตพื้นที่ห่างไกล แต่ก็จะมีโรงเรียนที่ได้มาตรฐานและได้คุณภาพที่อยู่ในระยะที่เดินทางได้อยู่เสมอ
ขนาดพ่อบ้านอยู่ในเขตเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรไม่กี่พันคน แต่ก็มีโรงเรียนอนุบาลถึง 4 แห่ง และโรงเรียนประถมขนาดใหญ่ 3 แห่งอยู่ใกล้ๆ และนอกจากนี้คือค่าใช้จ่ายนั้นมีทั้งรูปแบบฟรี แค่เสียค่าข้าวกลางวัน หรือไม่ฟรี(แต่ก็ไม่โหดเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ)
นอกจากนี้ยังมีการเรียนในรูปแบบ Ausbildung หรือสายอาชีพ ที่เป็นเครื่องมือที่เกือบจะการันตีในรูปแบบนึงว่าจบไปคุณจะมีงานทำแน่นอนถ้าคุณเรียนจบหรือไม่เกเรจนเกินไป
และที่สำคัญคือในระดับมหาวิทยาลัยที่นี่ก็เรียนเสียแต่ค่าธรรมเนียมที่น้อยมากเลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ จนหลายๆ คนพูดกันแทบติดปากว่าที่เยอรมันเรียนฟรี!
6. เรื่องของเวลา
นี่คือสิ่งที่พ่อบ้านประทับใจในเรื่องของเวลาการทำงานของคนเยอรมันเมื่อเทียบกับคนชาติอื่นๆ แล้วค่อนข้างน้อย แต่กลับได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีไม่แพ้ชาติไหนๆ เลย เข้ากับคอนเซปที่เรียกว่า
"ทำน้อยแต่ได้มาก"
เพราะถ้าเทียบแล้วนอกจากวันหยุดราชการของเยอรมันที่ไม่น้อยแล้ว ยังจะให้สิทธิในการลาพักร้อนอีกขั้นต่ำตามกฎหมายถึง 24 วัน(ขึ้นอยู่กับวันทำงาน) แต่บริษัทโดยส่วนใหญ่นั้นก็ให้มากกว่า โดยมีหลายบริษัทนั้นให้มากกว่า 30 วันต่อปีเลยทีเดียว
และนอกจากนี้ยังให้สิทธิคุณแม่หรือคุณพ่อจัดสรรเวลาในการลาหยุดในการดูแลคุณลูกได้อีกเป็นปีๆ อีกด้วย (สูงสุด 36 เดือน) โดยที่การได้รับเงินนั้นก็จะลดหลั่นกันไปขึ้นอยู่กับที่เราจะเลือก
"สุดท้ายนี้เมื่อพ่อบ้านย้อนกลับไปมองที่ผลสำรวจแล้วก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับผลลัพธ์ที่ออกมา และก็ยังคงคิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกจะมาใช้ชีวิตในเยอรมนี"
สามารถดูรายละเอียดคะแนนต่อได้ที่ Link นี้นะครับ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1740155226136810&id=191168457702169
ขอบคุณเครดิต
ภาพถ่ายสวยๆ จากคุณอ้อยนะครับ ✌️😊
#พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมนี #เยอรมัน #Germany
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「ausbildung」的推薦目錄:
- 關於ausbildung 在 Facebook 的最讚貼文
- 關於ausbildung 在 Facebook 的最讚貼文
- 關於ausbildung 在 Facebook 的最佳解答
- 關於ausbildung 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於ausbildung 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
- 關於ausbildung 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於ausbildung 在 Ausbildung.de - Home | Facebook 的評價
- 關於ausbildung 在 Ausbildung 2022 News & Trends, die du kennen musst! 的評價
ausbildung 在 Facebook 的最讚貼文
"หนทางสู่อาชีพเชฟ ที่เยอรมนี"
มาๆ วันนี้พ่อบ้านได้รับโอกาสจากเชฟพลอย ที่นอกจากเป็นเชฟแล้วยังเป็นเจ้าของเพจ รีวิวเยอรมัน ที่ชอบสรรหาของกินอร่อยๆ มาโพสยั่วอยู่เสมอๆ มาเป็นคนแชร์ประสบการณ์ของสายอาชีพนี้ให้ฟัง!
ว่าหนทางการเป็นเชฟของเค้านั้นมีที่มาอย่างไร และที่สำคัญคือ
"เชพพลอยเค้าจบด้วยคะแนนที่เป็นที่ 2 ของรุ่นเลยนะ"
1. ที่มา และทำไมถึงเลือกอาชีพนี้?
หลังจากที่ย้ายมาอยู่เยอรมันได้เกือบปีนึง ตอบตามตรงก็คือ ไม่รู้จะทำอะไรดี 555 ด้วยความที่ทุกวันจะทำอาหารกลางวันใส่กล่องให้สามีไปกินที่ทำงาน เลยคิดเล่นๆว่า เป็นเชฟดีมั้ยน๊า ทำอาหารก็สนุกดี แล้วคิดว่าคงเป็นอาชีพที่ไม่ต้องพูดเยอะด้วย(ตอนนั้นภาษายังไม่แข็ง) และคิดว่าน่าจะเป็นงานง่ายๆ เย็นนั้นก็เลยถามสามีว่าต้องทำยังไง
โดยเค้าก็เล่ารายละเอียดให้ฟังถึงอาชีพนี้ที่เราจะสามารถเรียนไปและทำงานไปด้วยได้ ด้วยความสนใจ ก็เลยเตรียมเอกสาร ค้นหา และสมัครทันที!!
แล้ววันต่อมาก็ส่งเอกสารไปสมัครเลย 3 โรงแรม 1-2 วันต่อมาก็ไปสัมภาษณ์งาน
แล้วก็ได้งานเลยมาแบบงงๆ ที่โรงแรมห้าดาวชื่อดังแห่งหนึ่ง
"ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก"
2. ความยากง่าย สิ่งที่เราแนะนำ และควรระวัง คืออะไร?
ความง่ายนี่ขอตอบตามตรงว่า
"นึกไม่ออกนะ 555555"
ความยาก คือ ไม่เหมือนที่คิดไว้เลยยยย งานเชฟเป็นงานที่หนักมาก เหนื่อยและ ต้องยกของหนัก ต้องยืน-เดินทั้งวัน ไม่ได้นั่งเลย ได้นั่งแค่ตอนพักวันละประมาณ1ชั่วโมง แล้วเป็นงานที่ต้องอาศัยความเร็ว มีความเครียดความกดดัน ยิ่งเวลาที่แขกเยอะๆ ออเดอร์มาไม่หยุด ต้องรีบทำหลายๆอย่างพร้อมกัน เหนื่อยมาก คนที่จะทำงานนี้ได้คือต้องมีใจรักในสายงานนี้จริงๆ ควรถนัด Multi tasking คล่องแคล่วว่องไว ไม่กลัวมีด ไม่กลัวความร้อน
*ส่วนตัว นี่เป็นคนกลัวน้ำมันร้อนๆ กลัวไฟ กลัวเตา กลัวอุปกรณ์มีคมใหญ่ๆ เลยทำให้บางครั้งจะเครียดมากถ้าโดนสั่งให้ทำอะไรที่กลัว ในการทำงาน ต้องมีสติตลอดเวลา เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ*
3. จะจบโดยสมบูรณ์ต้องผ่านด่านอะไรบ้าง?
ที่โรงเรียน แต่ละวิชาจะมีสอบย่อยเป็นระยะๆเพื่อเก็บคะแนน นอกจากเราจะต้องทำข้อเขียนให้ได้แล้ว เราต้องพูดต้องถามต้องยกมือตอบในห้องเรียนด้วย (เพราะเป็นคะแนน) โดยคะแนนแต่ละวิชาเค้าจะเฉลี่ยเขียนกับคะแนนพูด
โดยถ้าเราเรียนได้คะแนนดีมากๆ ก็สามารถทำเรื่องขอจบเร็วได้ด้วย เป็นจบภายใน 2 ปีครึ่ง แต่ส่วนตัวพลอยไม่ได้ยื่นเรื่อง เพราะเหนื่อย และ ไม่อยากต้องเร่งรีบอ่านหนังสือสอบ
โดยการสอบหลักๆ ที่คุณจะต้องเจอก็คือ
1. Zwischenprüfung (หลังจากที่เริ่มทำ Ausbildung ไปได้15เดือน)
2. Abschlussprüfung (สอบเพื่อจบAusbidung)
การสอบ Zwischenprüfung นี่ไม่ต้องกังวล คะแนนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เค้าก็ให้ผ่าน โดยของปีของพลอย เราไม่ได้มีการสอบ Zwischenprüfung เพราะช่วงที่มีสอบเป็นช่วงไวรัสระบาด ก็เลยได้เอกสารรับรองมาเลยว่าไม่ต้องสอบ Zwischenprüfung
การสอบAbschlussprüfung จะเป็นวัดความรู้ทั้งหมดที่เราเรียนมาตลอดสามปี โดยจะแบ่งเป็น
- สอบข้อเขียน แบ่งเป็นสามส่วน โดยจะเป็นทฤษฏีเกี่ยวกับการทำอาหาร, การคำนวนสินค้าในสต๊อก และในเรื่องของกฎหมาย
*ข้อควรระวังในการสอบจะมีการให้รายการวัตถุดิบมาและให้เราคิดเมนูจากวัตถุดิบต่างๆ เหล่านั้นเป็น 3 Gang เมนู เพื่อนำไปสอบภาคปฏิบัติด้วย ดังนั้นต้องคิดให้ดีๆ นะคะ*
สอบปฏิบัติก็มีสามส่วนเช่นกัน โดยเราจะต้องเขียนลำดับการทำงานก่อนหลัง, การตอบคำถามจากผู้คุมสอบ Gastorientierungsgespräch โดยเราจะต้องตอบคำถาม เช่นแพ้แลคโตสนี้จะกินเมนูนี้ได้มั้ย แนะนำไวน์อะไรที่เข้ากับอาหารของเรา
และในส่วนสุดท้ายก็คือการสอบทำอาหาร ภายในระยะเวลา สามชั่วโมงครึ่งโดยระหว่างที่เรากำลังทำนั้นจะมีคนคุมมาคอยดูเราตลอดเวลา และก็จะรู้ผลเลยว่าผ่านหรือไม่ผ่าน
4. รายได้ระหว่างเรียน?
รายได้ของที่ทำงานแต่ละที่จะไม่เท่ากันนะคะ แต่จำนวนเงินจะเยอะขึ้นทุกปี อย่างพลอยนี่ปีแรก พลอยจะได้อยู่ประมาณ 800 ยูโร และขึ้นไปเรื่อยๆ จนปีสุดท้ายได้เดือนละ 1,000 ยูโร แต่ช่วง Kurzarbeit โรงแรมปิดเพราะโควิด เลยได้แค่60%(จากnetto) เงินเดือนน้อยลง
แต่เราก็ไม่ได้ทำงานทุกวันตลอดทั้งเดือนเหมือนลูกจ้างทั่วไปนะ เพราะรูปแบบการเรียนจะเป็นการทำงาน 2 อาทิตย์สลับกับไปโรงเรียน1อาทิตย์ (แต่ช่วง ปิดเทอมก็ทำงานยาวเลยค่ะ)
5. สิ่งที่อยากจะบอก แก่ผู้ที่สนใจอาชีพนี้!!
ถ้าคุณรักในการทำอาหาร ไม่มีปัญหากับงานหนัก สุขภาพแข็งแรง มีความอดทน ยืดหยุ่นเรื่องเวลา คล่องแคล่วว่องไว มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ งานนี้เหมาะกับคุณเลยค่ะ
สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากจะบอกคือ การที่คุณจะเป็นเชฟนั้น ที่เยอรมันเค้าไม่ได้ให้เราไปนั่งทำอาหารสวยๆ ในครัวนะคะ เพราะอาชีพนี้มีหลายสิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่า
- จัดของในห้องที่อุณหภูมิ - 18 องศา
- ล้างครัว
- จัดห้องแช่ผลไม้
- คัดแยกอาหารหมดอายุ
- หั่นผัก เป็นถังๆ
และนอกจากนี้ ด้วยลักษาณะของอาชีพที่ทำให้เราต้องมีทำงานวันเสาร์อาทิตย์ และบ่อยครั้งที่ต้องทำงานเช้ามากๆ(ตี5) ในแผนกอาหารเช้า บางครั้งก็ทำงานกะบ่าย หรือบางครั้งก็ต้องอยู่ดึกถึงตี1
ซึ่งโรงแรมที่พลอยทำนั้นเค้าให้พลอยทำทุกอย่างแบบจริงๆ เลยค่ะ
ส่วนตัวแล้วหลังจากที่เรียนจนจบรู้สึกว่างานนี้ก็อาจจะไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ที่พลอยชอบมากๆ ก็คือ
"ชอบสังคม ชอบเพื่อนร่วมงาน ชอบการที่เราได้ทำงานเป็นทีมเหมือนครอบครัว คอยช่วยเหลือกัน"
และเนื้อหาสาระ รวมไปถึงความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนมาตลอดสามปีนี้ พลอยขอบอกเลยว่า มันเป็นความรู้และเป็นสิ่งที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต
"พลอยดีใจมากที่เลือกเรียนเกี่ยวกับการทำอาหาร ประสบการณ์การทำงานสามปีนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆเลยค่ะ"
#พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมัน #เยอรมนี #Germany #German
ausbildung 在 Facebook 的最佳解答
เยอรมันกับการ "รับน้อง"
*บทความนี้ถูกปรับปรุงใหม่เนื่องจากพ่อบ้านอ่านข่าวเรื่องการรับน้องที่รุนแรงกว่าเหตุและไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป*
สำหรับการรับน้องของมหาวิทยาลัยเยอรมันในยามปกติที่ไม่ใช่วิกฤตแบบตอนนี้นั้นพ่อบ้านขอบอกว่า
“มีนะครับ”
ที่อื่นไม่รู้เป็นอย่างไรแต่การรับน้องของมหาวิทยาลัยของพ่อบ้านนั้นไม่ได้เป็นการรับน้องแบบในระบบ Sotus ที่เราๆ เคยได้ยินกันนะครับ
เพราะพ่อบ้านบอกได้เลยว่าถ้าเกิดรุ่นพี่ที่เยอรมันใช้วิธีการรับน้องแบบมหาวิทยาลัยในประเทศไทยนี่สงสัยน่าจะมีการขึ้นศาลกันในแทบทุกกิจกรรมอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการว๊าก, การให้เต้นท่าต่างๆ ในที่สาธารณะ หรือจะเป็นการสั่งให้ทำกิจกรรมต่างๆ แบบที่ไม่สมควร ถ้าเป็นที่เยอรมันล้วนน่าจะเป็นทางลัดในการส่งรุ่นพี่
“เข้าหาตำรวจครับ”
พ่อบ้านเชื่อว่าบางคนก็อาจจะมีประสบการณ์ของกิจกรรมรับน้องของไทยมาแล้วไม่น้อยใช่มั้ยครับ? งั้นเดี๋ยวพ่อบ้านจะเล่าให้ฟังว่ากิจกรรมรับน้องของมหาลัยพ่อบ้านนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับกิจกรรมรับน้องของคณะพ่อบ้าน(คณะด้านธุรกิจ) นั้นถือว่าเป็นกิจกรรมที่เรียบง่ายมากครับ โดยกิจกรรมจะแบ่งออกเป็นสามช่วงหลักๆ
“คือช่วงเช้า,ช่วงบ่ายและช่วงเย็น”
ในส่วนช่วงเช้านั้นจะเป็นการที่ Dean ของคณะเข้ามาพูดถึงกฏต่างๆ ของมหาลัยครับ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคในการเรียนกฏข้อบังคับที่สำคัญและเงื่อนไขในการจบการศึกษา
ถัดจากนั้นจะเป็นการที่แนะนำเจ้าหน้าที่ๆ สำคัญต่างๆ ของคณะโดยเพื่อที่จะได้รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาอะไรต้องติดต่อใครเช่นถ้าใช้งาน E-learning ไม่ได้ห้อง IT อยู่ที่ไหน โดยเฉพาะคนสำคัญที่สุดอย่างเจ้าหน้าที่ประสานงานหลักของหลักสูตรของพ่อบ้านครับ
ถัดจากนั้นเจ้าหน้าที่เค้าจะพาเราเดินชมมหาวิทยาลัยและก็ไปหยุดที่ห้องสมุด และหลังจากนั้นจะเป็นการที่หัวหน้าห้องสมุดเข้ามาสอนวิธีการใช้งาน E-library ว่าใช้งานอย่างไรค้นหาบทความ ค้นหาเอกสารที่จำเป็นอย่างไร และรวมไปถึงให้คำแนะนำในการทำ Thesis โดยแจก List ของ Prof. ของมหาวิทยาลัยว่าอาจารย์คนไหน ถนัดด้านไหนเพื่อที่เราจะได้ง่ายขึ้นในการเลือกหัวข้อในการทำ Thesis
และถัดจากนั้นจะเป็นกิจกรรมในส่วนของรุ่นพี่และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยจัดร่วมกันก็คือการที่พาเดินชมเมืองและกินข้าวเที่ยงร่วมกันครับ!! โดยความพิเศษก็คือมหาลัยได้ทำจดหมายแจ้งมาแล้วล่วงหน้าครับว่าถ้าสะดวกก็
“เรายินดีเป็นอย่างมากที่จะเชิญครอบครัวของคุณมาด้วย”
หลังจากนั้นรุ่นพี่กับเจ้าหน้าที่ก็จะกินข้าวร่วมกันกับครอบครัวของเรา ซึ่งส่วนใหญ่พวกเพื่อนพ่อบ้านนั้นมักจะเอาแฟนมากันครับ ฮ่าๆ
และก็พาเดินชมเมืองเช่นชมวิวในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองและรวมไปถึงเล่าประวัติของเมืองอีกด้วย
และก็มาถึงกิจกรรมช่วงเย็นก็คือกิจกรรมการ Networking โดยสมาคมศิษย์เก่า โดยเขาจะให้เราทำการคอนเฟริ์มที่นั่งตั้งแต่เช้าครับว่าใครจะเข้าร่วมบ้าง(ไม่บังคับ) เพื่อที่จะได้สะดวกในการจองโต๊ะในร้านกาแฟ
แต่ในรุ่นของพ่อบ้านไปๆ มาๆ คือคนไปเยอะเกินคาดพวกรุ่นพี่ก็เลยเปลี่ยนสถานที่เป็นร้านเบียร์!! แทนครับ ซึ่งกิจกรรมที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ก็เป็นกิจกรรมที่แสนง่ายครับคือ
“Networking”
โดยพวกรุ่นพี่ก็จะเข้ามาคุยมาแนะนำตัวกันว่าเป็นใคร ทำงานที่ไหน อย่างไร แล้วก็ถึงถึงคราวที่พวกเราแนะนำตัวกันบ้าง แล้วหลังจากนั้นก็จะเป็นการแนะนำในการสมัครสมาชิกสมาคมศิษย์เก่า สิทธิประโยชน์ต่างๆและก็เป็นการนั่งคุยกันนั่งดื่มกันแบบเฮฮาแล้วครับ ซึ่งพ่อบ้านก็ได้เพื่อนและรู้จักรุ่นพี่หลายคนไม่น้อยเลยจากกิจกรรมเล็กๆ นี้
“จบแล้วครับ”
เป็นไงบ้างครับการรับน้องแบบของมหาวิทยาลัยของเยอรมัน ซึ่งรูปแบบการรับน้องที่พ่อบ้านเล่าไปเป็นการรับน้องของคณะด้านบริหารที่ส่วนใหญ่คนที่เรียนจะทำงานกันหมดและมีประสบการณ์ทำงานและตำแหน่งที่ดีระดับนึงครับ จึงอาจจะแตกต่างกับคณะอื่นบ้าง
แต่ก็ง่ายดีครับวันเดียวจบ ฮ่าๆ แต่พ่อบ้านว่ามี Impact ดีเหมือนกันนะครับโดยเฉพาะในส่วนของการที่เขาแนะนำและเตรียมตัวในส่วนของการทำเล่มจบตั้งแต่วันแรกของการมาเยือนที่นี่
พ่อบ้านไม่แน่ใจว่ามหาลัยอื่นและคณะอื่นหรือแม้แต่ Ausbildung ที่เยอรมันมีการรับน้องอย่างไร ถ้าอย่างไรรบกวนมาแชร์ให้พ่อบ้านฟังด้วยนะครับ
#พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมัน #เยอรมนี #Germany #German #Sotus #กิจกรรมรับน้อง #StudentOrientation
ausbildung 在 Ausbildung 2022 News & Trends, die du kennen musst! 的推薦與評價

Du möchtest 2022 mit einer Ausbildung anfangen oder bist vielleicht auch schon Azubi? Dann haben wir was für dich: In diesem Video verraten ... ... <看更多>
ausbildung 在 Ausbildung.de - Home | Facebook 的推薦與評價
Mit Ausbildung.de können Azubis zum Traumjob durchstarten! Finde mit unserem Berufscheck heraus, welcher Job zu dir passt und entdecke gleich die passenden ... ... <看更多>