ทำไม ซาอุดีอาระเบีย ถึงอยากเป็น "The Next Germany" /โดย ลงทุนแมน
ซาอุดีอาระเบียติด Top 10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก
ทั้งที่มีประชากรเพียง 34 ล้านคน อยู่ในอันดับ 41 ของโลก
ทำให้เมื่อหารเฉลี่ยต่อหัวแล้ว ชาวซาอุดีอาระเบียจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มากถึงปีละ 18.5 ตันต่อคน มากกว่าชาวเยอรมันถึง 2 เท่า
การปล่อยก๊าซที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน
ทำให้ประเทศเศรษฐีน้ำมันแห่งนี้ ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่
โดยมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของโลก
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการที่จะลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
แต่เป้าหมายของซาอุดีอาระเบียคือการเป็นผู้ส่งออกพลังงานหมุนเวียน
โดยประเทศที่ซาอุดีอาระเบียอาศัยเป็นต้นแบบด้านพลังงานหมุนเวียนก็คือ ประเทศเยอรมนี
ถึงขนาดผู้นำประเทศประกาศว่า เป้าหมายของซาอุดีอาระเบีย
คือการเป็น “The Next Germany”
เรื่องนี้มีความน่าสนใจอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบกว่า 267,026 ล้านบาร์เรล
มากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้น้ำมันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของซาอุดีอาระเบีย
กว่าร้อยละ 80 ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
น้ำมันที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือยังถูกนำมาใช้ในประเทศ ทั้งการขนส่ง และการผลิตกระแสไฟฟ้า
ซาอุดีอาระเบียผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเป็นสัดส่วนถึง 42% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ซึ่งเป็นไม่กี่ประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันในสัดส่วนสูงขนาดนี้
นอกจากน้ำมัน แหล่งพลังงานที่สำคัญในการผลิตไฟฟ้าของประเทศนี้ ก็คือก๊าซธรรมชาติอีกราว ๆ 57.8%
เท่ากับว่า การผลิตไฟฟ้าในประเทศซาอุดีอาระเบีย จะมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเกือบ 100%
ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการสร้างปัญหามลภาวะในอากาศ โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในระหว่างกระบวนการผลิต
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ซาอุดีอาระเบียจึงต้องการเปลี่ยนแปลงมาใช้พลังงานหมุนเวียน
และพลังงานสะอาดเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งยังรวมไปถึงการส่งออกพลังงานดังกล่าวเพื่อสร้างรายได้มาชดเชยรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่ในอนาคตมีแนวโน้มที่จะลดลง
และประเทศซึ่งเป็นต้นแบบของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดที่ประสบความสำเร็จ
จนซาอุดีอาระเบียต้องการจะเดินรอยตาม จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “เยอรมนี”
เรื่องนี้ถึงขนาดทำให้ เจ้าชายมูฮัมมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารของซาอุดีอาระเบียถึงกับกล่าวว่า “ประเทศเราจะเป็นเหมือนกับเยอรมนี เมื่อพูดถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน”
รู้ไหมว่า เยอรมนีเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่เชี่ยวชาญการใช้พลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภทเพื่อการผลิตไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว ที่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนของเยอรมนีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปี 1990 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน 3%
ปี 2005 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน 10%
ปี 2020 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน 45%
ถือได้ว่า พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในเยอรมนีในวันนี้ เกือบครึ่งมาจากพลังงานหมุนเวียน
และยังมาจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
เยอรมนีเป็นประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยในปี 2020 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์กว่า 51 เทระวัตต์-ชั่วโมง (TWh)
สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป
และยังเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมสูงถึง 134.5 เทระวัตต์-ชั่วโมง (TWh) สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป
ที่น่าสนใจคือ ภายในปี 2050 รัฐบาลเยอรมันตั้งเป้าไว้ว่า
การผลิตไฟฟ้าภายในประเทศจะมาจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100%
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนของเยอรมนี ล้วนเกิดจากการวางแผนที่ดี
การสนับสนุนและลงมือทำอย่างจริงจัง รวมไปถึงความร่วมมือกันระหว่างทั้งภาครัฐและเอกชน จนทำให้เยอรมนีได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ ว่าเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบในด้านพลังงานหมุนเวียนที่หลายประเทศต้องการเดินรอยตาม ซึ่งรวมไปถึงซาอุดีอาระเบีย
สำหรับซาอุดีอาระเบียปี 2018 นั้น การผลิตไฟฟ้าในประเทศมาจากพลังงานหมุนเวียน
น้อยกว่า 1% ของแหล่งพลังงานทั้งหมด
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้ซาอุดีอาระเบียตั้งเป้าที่จะผลิตไฟฟ้าด้วยการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 50% ภายในปี 2030
แต่การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ไปถึงสัดส่วนดังกล่าว
นอกจากการศึกษากระบวนการทำงานของประเทศต้นแบบที่ประสบความสำเร็จแล้ว ซาอุดีอาระเบียจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล
รัฐบาลของซาอุดีอาระเบียตั้งเป้าหมายว่า ในช่วงระหว่างปี 2020-2023
ซาอุดีอาระเบียจะลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท
ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียได้ก่อสร้างโครงการพลังงานลมที่ชื่อว่า The Dumat Al Jandal
ซึ่งเป็นโครงการพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ รัฐบาลของซาอุดีอาระเบียยังวางแผนที่จะพัฒนาโครงการ Green Hydrogen ซึ่งนับเป็นโรงงานผลิตไฮโดรเจนสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งโครงการนี้มีมูลค่าโครงการสูงกว่า 2.1 แสนล้านบาท
Green Hydrogen นั้นเป็นการผลิตไฮโดรเจนโดยการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และก๊าซไฮโดรเจนที่ได้จะถูกนำไปผ่านเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อไป ซึ่งรัฐบาลของซาอุดีอาระเบียวางแผนที่จะส่งออกไฮโดรเจนสะอาดไปขายยังตลาดโลกอีกด้วย
ซึ่งการลงทุนดังกล่าวนั้น นับเป็นหนึ่งในแผนภายใต้ Vision 2030 ที่เป็นนโยบายหนึ่งของการพัฒนาซาอุดีอาระเบียไปสู่ยุคสมัยใหม่ ที่ต้องการลดการพึ่งพาน้ำมัน
เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ จากประเทศที่มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันในปี 2019
กว่า 6 ล้านล้านบาท เป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดของโลก
แต่เมื่อแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศเริ่มลดลงเรื่อย ๆ
ซาอุดีอาระเบียก็ต้องปรับตัวให้ทันตามกระแสโลก
และที่สำคัญคือ การกระจายความเสี่ยง ไม่ให้พึ่งพาพลังงานใดพลังงานหนึ่งมากเกินไป..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Energy_in_Saudi_Arabia#:~:text=Electricity%20generation%20is%2040%25%20from,to%20120%20GW%20by%202032
-http://www.nst.or.th/powerplant/pp04.html
-https://www.arabnews.com/node/1801291/business-economy
-https://ourworldindata.org/renewable-energy
-https://www.cleanenergywire.org/factsheets/solar-power-germany-output-business-perspectives
-https://en.wikipedia.org/wiki/Solar_power_by_country
-https://www.ucsusa.org/resources/each-countrys-share-co2-emission
-https://energy.economictimes.indiatimes.com/news/renewable/worlds-top-10-countries-in-wind-energy-capacity/68465090#:~:text=China%20has%20a%20installed%20capacity,larger%20than%20its%20nearest%20rival.&text=The%20US%20comes%20second%20with%2096.4%20GW%20of%20installed%20capacity.
-https://sustainabledevelopment.un.org/index.php?page=view&type=99&nr=24&menu=1449#:~:text=Supply%20by%202050-,Germany%20has%20promised%20to%20transform%20its%20electricity%20supply%20to%20100,by%202050%20from%201990%20levels
-https://www.rechargenews.com/energy-transition/we-will-be-pioneering-saudi-arabia-reveals-50-renewables-goal-by-2030-but-is-that-realistic-/2-1-954094
-https://www.greentechmedia.com/articles/read/us-firm-unveils-worlds-largest-green-hydrogen-project#:~:text=Energy-,World%27s%20Largest%20Green%20Hydrogen%20Project%20Unveiled%20in%20Saudi%20Arabia,gigawatts%20of%20Saudi%20renewable%20electricity.&text=Massive%20green%20hydrogen%20facility%20would,Neom%20%22smart%20city%22%20project
-https://www.ammoniaenergy.org/articles/saudi-arabia-to-export-renewable-energy-using-green-ammonia/#:~:text=Last%20week%2C%20Air%20Products%2C%20ACWA,to%20be%20operational%20by%202025.
-https://www.statista.com/statistics/223231/opec-net-oil-export-revenue-streams-by-country/#:~:text=Saudi%20Arabia%20is%20the%20largest,Iraq%27s%2087%20billion%20U.S.%20dollars
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,Sant’Agata Bolognese, 17 October 2017 – Automobili Lamborghini’s ongoing strategic investment programme, aligned with the launch of its new Super SUV ...
world energy capacity 在 媽媽監督核電廠聯盟 Facebook 的最讚貼文
根據國際專業綠能源倡議機構IRENA發表的最新統計資料顯示,台灣積極推動能源轉型,發展再生能源發電,風電、光電實質成績已經可以名列全球前8強以及前20強國家之列,名次還可望繼續向前衝刺!
Via 趙家瑋:”2020年全球再生能源裝置量統計出爐,再生能源新增量達到260GW,為史上最高年度新增量。
去年(全球)新增的發電裝置容量中,有八成為再生能源,而新增再生能源中,風力與光電佔了九成。
https://www.irena.org/newsroom/pressreleases/2021/Apr/World-Adds-Record-New-Renewable-Energy-Capacity-in-2020
隨著這個年度統計資料出爐,也可掌握一下臺灣目前再生能源裝置量在國際上的排名。
(台灣)在離岸風力方面,從2019年的全球第八,滑落到第九,因為南韓在去年已有離岸風場投產。但今年度若880MW都可以順利併網,應該就會超過瑞典,因為其今年會併網的風電都是陸域風電(此外,附帶一提,中國大陸離岸風電的裝置容量之大,名列全球排行的第二名,僅次於)。
而(台灣)在光電方面,雖然2020年並未能達到目標(原預計去年年終時完成6.5GW裝置容量,但因疫情影響設備取得的運輸流程,將遞延到今年第二季達成目標,今年的目標為年底時達成8.75GW裝置容量),但累積裝置量的國家排名是較2019年提升了兩位,趕過了比利時跟墨西哥,排名 17。臺灣在前20大裝置國中,國土面積僅大於比利時(也附帶一提,中國大陸是目前穩居全球所有國家太陽能光電裝置容量第一名的位置,人家中國大陸對於再生能源發電的積極程度非常明確、強烈)。
而2020年全球光電發展上,極受矚目的國家為越南,一口氣增加了11GW的量,擠身為全球光電裝置量第八大國。“
趙家緯原文連結:
https://www.facebook.com/chiawei.chao.5/posts/4113329192018701
編按:面對全球暖化、氣候變遷導致大規模極端氣候頻率明顯增加的嚴峻威脅,以及國際間對於減碳、減排,以因應上述挑戰所規範日趨嚴格,國際大廠甚至先進國家紛紛強制供應鏈必須全面以使用100%再生能源電力來達成除碳化、減少溫室效應氣體排放的明確大趨勢,台灣的能源政策若在原地踏步,甚至再去走以核、火為主軸的回頭路,說實在的就真的是自尋死路,跟自己過不去了。
說實在的,對於國家積極推動能源轉型,發展再生能源發電,大家其實應該更有信心,也更加支持才對。
♡
world energy capacity 在 IELTS Fighter - Chiến binh IELTS Facebook 的最佳貼文
- Luyện đọc và tìm kiếm từ mới nào cả nhà!
Đề Cambridge IELTS 14 Test 2 - passage 2:
BACK TO THE FUTURE OF SKYSCRAPER DESIGN
Answers to the problem of excessive electricity use by skyscrapers and large public buildings can be found in ingenious but forgotten architectural designs of the 19th and early-20th centuries
A. The Recovery of Natural Environments in Architecture by Professor Alan Short is the culmination of 30 years of research and award-winning green building design by Short and colleagues in Architecture, Engineering, Applied Maths and Earth Sciences at the University of Cambridge.
'The crisis in building design is already here,' said Short. 'Policy makers think you can solve energy and building problems with gadgets. You can't. As global temperatures continue to rise, we are going to continue to squander more and more energy on keeping our buildings mechanically cool until we have run out of capacity.'
B. Short is calling for a sweeping reinvention of how skyscrapers and major public buildings are designed - to end the reliance on sealed buildings which exist solely via the 'life support' system of vast air conditioning units.
Instead, he shows it is entirely possible to accommodate natural ventilation and cooling in large buildings by looking into the past, before the widespread introduction of air conditioning systems, which were 'relentlessly and aggressively marketed' by their inventors.
C. Short points out that to make most contemporary buildings habitable, they have to be sealed and air conditioned. The energy use and carbon emissions this generates is spectacular and largely unnecessary. Buildings in the West account for 40-50% of electricity usage, generating substantial carbon emissions, and the rest of the world is catching up at a frightening rate. Short regards glass, steel and air-conditioned skyscrapers as symbols of status, rather than practical ways of meeting our requirements.
D. Short's book highlights a developing and sophisticated art and science of ventilating buildings through the 19th and earlier-20th centuries, including the design of ingeniously ventilated hospitals. Of particular interest were those built to the designs of John Shaw Billings, including the first Johns Hopkins Hospital in the US city of Baltimore (1873-1889).
'We spent three years digitally modelling Billings' final designs,' says Short. 'We put pathogens• in the airstreams, modelled for someone with tuberculosis (TB) coughing in the wards and we found the ventilation systems in the room would have kept other patients safe from harm.
E. 'We discovered that 19th-century hospital wards could generate up to 24 air changes an hour-that's similar to the performance of a modern-day, computer-controlled operating theatre. We believe you could build wards based on these principles now.
Single rooms are not appropriate for all patients. Communal wards appropriate for certain patients - older people with dementia, for example - would work just as well in today's hospitals, at a fraction of the energy cost.'
Professor Short contends the mindset and skill-sets behind these designs have been completely lost, lamenting the disappearance of expertly designed theatres, opera houses, and other buildings where up to half the volume of the building was given over to ensuring everyone got fresh air.
F. Much of the ingenuity present in 19th-century hospital and building design was driven by a panicked public clamouring for buildings that could protect against what was thought to be the lethal threat of miasmas - toxic air that spread disease. Miasmas were feared as the principal agents of disease and epidemics for centuries, and were used to explain the spread of infection from the Middle Ages right through to the cholera outbreaks in London and Paris during the 1850s. Foul air, rather than germs, was believed to be the main driver of 'hospital fever', leading to disease and frequent death. The prosperous steered clear of hospitals.
While miasma theory has been long since disproved, Short has for the last 30 years advocated a return to some of the building design principles produced in its wake.
G. Today, huge amounts of a building's space and construction cost are given over to air conditioning. 'But I have designed and built a series of buildings over the past three decades which have tried to reinvent some of these ideas and then measure what happens. 'To go forward into our new low-energy, low-carbon future, we would be well advised to look back at design before our high-energy, high-carbon present appeared. What is surprising is what a rich legacy we have abandoned.'
H. Successful examples of Short's approach include the Queen's Building at De Montfort University in Leicester. Containing as many as 2,000 staff and students, the entire building is naturally ventilated, passively cooled and naturally lit, including the two largest auditoria, each seating more than 150 people. The award-winning building uses a fraction of the electricity of comparable buildings in the UK.
Short contends that glass skyscrapers in London and around the world will become a liability over the next 20 or 30 years if climate modelling predictions and energy price rises come to pass as expected.
I. He is convinced that sufficiently cooled skyscrapers using the natural environment can be produced in almost any climate. He and his team have worked on hybrid buildings in the harsh climates of Beijing and Chicago - built with natural ventilation assisted by back-up air conditioning - which, surprisingly perhaps, can be switched off more than half the time on milder days and during the spring and autumn.
“My book is a recipe book which looks at the past, how we got to where we are now, and how we might reimagine the cities, offices and homes of the future. There are compelling reasons to do this. The Department of Health says new hospitals should be naturally ventilated, but they are not. Maybe it’s time we changed our outlook.”
TỪ VỰNG CHÚ Ý:
Excessive (adj)/ɪkˈsesɪv/: quá mức
Skyscraper (n)/ˈskaɪskreɪpə(r)/: nhà trọc trời
Ingenious (adj)/ɪnˈdʒiːniəs/: khéo léo
Culmination (n) /ˌkʌlmɪˈneɪʃn/: điểm cao nhất
Crisis (n)/ˈkraɪsɪs/: khủng hoảng
Gadget (n)/ˈɡædʒɪt/: công cụ
Squander (v)/ˈskwɒndə(r)/: lãng phí
Reliance (n)/rɪˈlaɪəns/: sự tín nhiệm
Vast (adj)/vɑːst/: rộng lớn
Accommodate (v)/əˈkɒmədeɪt/: cung cấp
Ventilation (n)/ˌventɪˈleɪʃn/: sự thông gió
Habitable (adj)/ˈhæbɪtəbl/: có thể ở được
Spectacular (adj)/spekˈtækjələ(r)/: ngoạn mục, đẹp mắt
Account for /əˈkaʊnt//fə(r)/ : chiếm
Substantial (adj)/səbˈstænʃl/: đáng kể
Frightening (adj)/ˈfraɪtnɪŋ/: kinh khủng
Sophisticated (adj)/səˈfɪstɪkeɪtɪd/: phức tạp
Pathogen (n)/ˈpæθədʒən/: mầm bệnh
Tuberculosis (n)/tjuːˌbɜːkjuˈləʊsɪs/: bệnh lao
Communal (adj)/kəˈmjuːnl/: công cộng
Dementia (n)/dɪˈmenʃə/: chứng mất trí
Fraction (n)/ˈfrækʃn/: phần nhỏ
Lament (v)/ləˈment/: xót xa
Panicked (adj): hoảng loạn
Lethal (adj)/ˈliːθl/: gây chết người
Threat (n)/θret/: mối nguy
Miasmas (n)/miˈæzmə/: khí độc
Infection (n) /ɪnˈfekt/: sự nhiễm trùng
Cholera (n)/ˈkɒl.ər.ə/: dịch tả
Outbreak (n)/ˈaʊt.breɪk/: sự bùng nổ
Disprove (v)/dɪˈspruːv/: bác bỏ
Advocate (v)/ˈæd.və.keɪt/: ủng hộ
Auditoria (n)/ˌɔːdɪˈtɔːriə/ : thính phòng
Comparable (adj)/ˈkɒm.pər.ə.bəl/: có thể so sánh được
Contend (v) /kənˈtend/: cho rằng
Liability (n)/ˌlaɪ.əˈbɪl.ə.ti/: nghĩa vụ pháp lý
Convince (v) /kənˈvɪns/: Thuyết phục
Assist (v) /əˈsɪst/: để giúp đỡ
Các bạn cùng tham khảo nhé!
world energy capacity 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
Sant’Agata Bolognese, 17 October 2017 – Automobili Lamborghini’s ongoing strategic investment programme, aligned with the launch of its new Super SUV the Urus, sees its production site now doubled with the creation of substantial new facilities and technologies at its factory headquarters in Sant’ Agata Bolognese, Italy.
As well as expanding the site from 80,000 to 160,000 m2, the Urus will also bring about a substantial increase in the company’s production capacity, doubling it to 7,000 units a year.
The new production facility houses a new assembly line dedicated to Urus, the new finishing department for all Lamborghini models, and a new office building with LEED Platinum certification: the highest standard in the world for energy and environmental certification in building design and construction. A new test track has also been built with thirteen different surfaces specific to SUVs, as well as a new logistics warehouse, a second trigeneration power plant, and the new energy hub for centralized production of all the energy carriers.
Ranieri Niccoli, Chief Manufacturing Officer, commented: “With our third model, we wanted to introduce the most innovative production technologies and smart factory concepts, supporting and complementing the activities of our workforce. Urus ushers in a new model of factory, which we call Manifattura Lamborghini, a new point of reference in the luxury automobile industry. The substantial resultant benefits include greater production flexibility, better information accessibility, and the interconnection of systems: strengthening the professionalism of craftsmanship that has always distinguished us and supporting the doubling of our production volumes.”
The creation of new buildings and the installation of innovative technologies involved more than 600 enterprises working on the project with a total of 3,600 external workers.
The factory expansion was completed in a record time of just 18 months, during which the company operated at full production capacity and achieved record sales in 2016 (+7% over the previous year). The project was achieved without neglecting Lamborghini’s commitment to environmental sustainability: the entire production facility in Sant’Agata Bolognese maintains the carbon neutral certification obtained in 2015.
Manifattura Lamborghini
The new Industry 4.0 assembly line, dedicated entirely to the Urus Super SUV, integrates new production technologies to support workers in assembly activities.
The super sports car maker expresses this approach as Manifattura Lamborghini, which is characterized by four basic principles:
Craftsmanship: preserving and optimizing craftsmanship with the integration of innovative technologies, increasing the potential for product customization on one hand, and guaranteeing the highest quality standards on the other.
Competencies and specialization: digitalization enables workers, via touchscreen devices, to access production information made available by easily-consulted interconnected systems.
Production process: AGVs (Automatic Guided Vehicles) are used as vehicle and material transport systems. Thanks to this system, the flexibility of the building layout is maintained.
Ergonomics and safety: collaborative robots assist the workers, to improve ergonomics and for repetitive operations that require high quality, such as window gluing, under-body screwing, and wheel assembly.