บทสรุปผู้บริหาร
งานวิจัยเรื่อง ปัญหาสถานะและลำดับชั้นทางกฎหมายของกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ภายใค้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 : กรณีศึกษาพระราชกฤษฎีกา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้วางหลักคิดเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อมีมนุษย์ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นต้องมี “กติกา” ในการอยู่ร่วมกัน แต่กติกา ที่สำคัญและมีความแน่นอนเหล่านั้นก็คือ “กฎหมาย” โดยกฎหมายที่ใช้บังคับคนในสังคมนั้นจะประกอบด้วยกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดกติกาที่เป็นกฎหมายใช้บังคับคนในสังคมจะต้องมีที่มาและการวางกฎกติกาที่ได้รับความยินยอมและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และพบว่า การได้ให้คำนิยามความหมายของกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ตามกฎหมายระดับกฎหมายบัญญัติพบว่า มีกฎหมายอยู่ 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรค 8 ให้นิยามถึง กระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” หมายถึง พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบข้อบังคับอื่นใดที่เป็นการทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งพระราชกฤษฎีกา คือ กฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 วรรค 5 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรค 8 ได้นิยามความหมายของกฎไว้เช่นเดียวกันว่า “กฎ” หมายถึง พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติทั้งถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใด หรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ” จะเห็นได้ว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับให้นิยามความหมายของ กระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” โดยยกตัวอย่างชนิดของ กระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ขึ้นกล่าวนำว่า “...พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติทั้งถิ่น.ระเบียบข้อบังคับหรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลเป็นการทั่วไป” นั้นแสดงให้เห็นว่า กระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” เป็นกระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” หรือบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นการแสดงเจตนาในทางมหาชนฝ่ายเดียว กำหนดสิทธิหน้าที่ให้แก่ผู้อยู่ภายใต้บังคับของกระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ในส่วนท้ายที่กล่าวว่า “โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใด หรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ” แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่เป็นการใช้บังคับทั่วไปของ “กฎ” ฉะนั้นกระบวนการและแบบกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” จึงมีลักษณะเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์ในลักษณะเป็น “นามธรรม” เพื่อให้ใช้บังคับครอบคลุมข้อเท็จจริงจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตามปัญหาพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญที่ยังคงมีความสับสนอยู่ว่ามีสถานะทางกฎหมายอยู่ในลำดับชั้นทางกฎหมายในระดับใดระหว่าง “กฎหมายบัญญัติ” กับ “กฎหมายลำดับรอง” หรือ “กฎ” ซึ่งเมื่อพิจารณาศึกษาตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของ “กฎ” ว่า รวมทั้งคำพิพากษาศาลปกครองได้ให้พิพากษาว่า พระราชกฤษฎีกาอภัยโทษมีฐานะเป็น “กฎ” แต่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญกำหนดให้คำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร ได้วินิจฉัยพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญ คือ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรให้มีการเลือกตั้งใหม่มีสถานะทางกฎหมายเป็น “กฎหมาย” อยู่ในลำดับชั้นกฎหมายบัญญัติ นับเป็นเรื่องที่จะศึกษาปัญหาสถานะทางกฎหมายและลำดับชั้นทางกฎหมายอยู่ 3 ประการ คือ
ปัญหาประการที่ 1 พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรที่ออกโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญในลักษณะใดบ้างมีสถานะทางกฎหมายและมีลำดับชั้นของกฎหมายใดระหว่างกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” กับ “กฎหมาย”
ปัญหาประการที่ 2 พระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ศาลปกครองได้พิพากษาศาลว่า มีสถานะกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” แต่ไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
ปัญหาประการที่ 3 พระราชกฤษฎีกาพระราชกฤษฎีกาที่มีลักษณะเป็นการใช้พระราชอำนาจตามอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์นี้จะไม่อยู่ในฐานะฝ่ายปกครองศาลจะมีอำนาจเข้าตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้หรือไม่
ดังนั้นงานวิจัยนี้ผู้วิจัยมีความมุ่งมั่นเพื่อจะศึกษาถึงการนำรูปแบบการกระทำของฝ่ายบริหารขนิดที่เรียกชื่อว่า “พระราชกฤษฎีกา” มาใช้ในระบบกฎหมายไทย มีประเภทใดบ้าง มีสถานะและลำดับชั้นทางกฎหมายอย่างไร สมควรที่จะใช้รูปแบบนี้หรือไม่ หรือมีทางเลือกอื่นและเกี่ยวข้องกับประเด็นการคุ้มครองสิทธิการควบคุมตรวจสอบได้หรือไม่เพียงใด
จากศึกษาพบว่าการที่ประเทศไทยได้นำรูปแบบการกระทำของฝ่ายบริหารชนิดที่เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกา” มาใช้พบว่า มีปัญหาว่าพระราชกฤษฎีกาแต่ละฉบับปัญหาในเรื่องมีสถานะและลำดับชั้นทางกฎหมายในระดับใด ระหว่าง “กฎหมายในระกับกฎหมายบัญญัติ” หรือ กฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” หรือเป็น “การกระทำของประมุขของรัฐ” ที่เป็นการกระทำตามทฤษฎีว่าด้วย “การกระทำของรัฐบาล” และศาลสามารถเข้ามาตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและความชอบด้วยกฎหมายหรือได้หรือไม่ เมื่อพิจารณาศึกษาด้วยการวิเคราะห์พบว่ามีแนวทางแก้ไขปัญหาของพระราชกฤษฎีกา ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 25560 พบว่า สามารถแยกมีสถานะทางกฎหมายพระราชกฤษฎีกามี อยู่ 4 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยการให้พระราชอำนาจในฐานะประมุขของรัฐเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง คือ พระราชราชกฤษฎีกาการจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 อาศัยอำนาจมาตรา 15 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีสถานะทางกฎหมายเป็นกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ตามแบบพิธี แต่ไม่เป็นกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” เชิงเนื้อหาที่อยู่ภายใต้การบังคับมาตรา 11 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และเป็นการกระทำเป็นการกระทำในฐานะประมุขของรัฐ หลักทฤษฎีว่าด้วย “การกระทำทางรัฐบาล” ปัญหาต่อมา พระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวสามารถตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ จากการสุมภาษณ์เชิงเจาะลึก ตุลการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง พบว่าภายใต้บทบัญญัติมาตรา 15 ให้ตราพระราชกฤษฎีกาตามอัธยาศัย เป็นพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ใช้ตราพระราชกฤษฎีกาตามลำพังพระองค์เอง ถือเป็นการกระทำในฐานะประมุขของรัฐ ตามหลักทฤษฎีว่าด้วย “การกระทำทางรัฐบาล” จะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลแต่อย่างไร
ประเภทที่ 2 พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยการให้พระราชอำนาจในฐานะประมุขของรัฐไม่เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง จะพบว่ามีอยู่ 3 ลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่ 1 พระราชกฤษฎีกาที่มีลักษณะเป็นการกระทำทางการเมือง เช่น พระราชกฤษฎีกาปิดเปิดสมัยประชุมรัฐสภา พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายตามแบบเนื้อความ แต่มีลักษณะเป็น “กฎหมายตามแบบพิธี” เช่น พระราชกฤษฎีกาเปิดปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น พระราชกฤษฎีกาเหล่านี้เป็นการกระทำทางการเมือง หรือเรียกว่า “การกระทำทางรัฐบาล” โดยหลักการแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมตรวจความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตุลาการ
ลักษณะที่ 2 พระราชกฤษฎีกาที่มีลักษณะเกี่ยวพันกับการกระทำทางการเมืองกับการกระทำทางปกครอง เช่น พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในส่วนการจัดการเลือกตั้ง ไม่ถือว่า เป็น “กฎหมายในระดับกฎหมายบัญญัติ” กับ กฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” กล่าวคือ ไม่ถือว่าเป็น กฎหมายในระดับกฎหมายบัญญัติเพราะมีชื่อในรูปแบบของพระราชกฤษฎีกา ตาม “แบบพิธี” ไม่ถือว่าเป็นกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ตาม “แบบเนื้อหา” เพราะว่าไม่เข้าข่ายข้อพิจารณาของคำว่า “กฎ” ที่เป็น “นามธรรม” และ “เป็นการทั่วไป” ตามมาตรา 9 (1) และตามมาตรา 11 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ลักษณะที่ 3 พระราชกฤษฎีกาที่มีลักษณะเป็นการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ นี้จะไม่อยู่ในฐานะฝ่ายปกครอง แต่มีสถานะทางกฎหมายเป็น “กฎ” กล่าวคือ พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในสถานะทางประมุขของรัฐ ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง และการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์นี้จะไม่อยู่ในสถานะทางฝ่ายปกครองและมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐตาม มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เช่น พระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดที่ ได้วินิจฉัยว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจปกครอง
ประเภทที่ 3 พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญโดยตรงประกอบกับกฎหมายในระดับกฎหมายบัญญัติที่ให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ มีออยู่ 2 ลักษณะ คือ
ลักษณะที่ 1 พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ พระราชกฤษฎีกาที่เป็นการใช้อำนาจของรัฐบาล ร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง เสนอให้พระมหาพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเพื่อให้มีการจัดกการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ไม่ถือว่า เป็น “กฎหมายระดับกฎหมายบัญญัติ” กับ กฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” กล่าวคือ ไม่ถือว่าเป็น กฎหมายในระดับกฎหมายบัญญัติเพราะมีชื่อในรูปแบบของพระราชกฤษฎีกา “ตามแบบพิธี” ไม่ถือว่าเป็นกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” “ตามแบบเนื้อหา” เพราะว่าไม่เข้าข่ายข้อพิจารณาของคำว่า “กฎ” ที่เป็น “นามธรรม” และ “เป็นการทั่วไป” แต่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลปกครองตามมาตรา 231 (2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นการกระทำอื่นใดการกระทำอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้าตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
ลักษณะที่ 2 พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญประกอบกับพระราชบัญญัติหรือกฎหมายเทียบเท่าพระราชบัญญัติ กล่าวคือ พระราชกฤษฎีกาที่เป็นการใช้อำนาจของรัฐบาลในสถานะทางที่เป็นฝ่ายปกครอง มีสถานะทางกฎหมายเป็น “กฎ” เช่น พระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ พระราชกฤษฎีกาการเวนคือที่ดิน หรือพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอุทยาน พระราชกฤษฎีกายุบรวมหรือโอนส่วนราชการ มีสถานะทางกฎหมายเป็นกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ตามเจตนารมณ์ของคำนิยามความหมายของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 3 วรรค 8 เป็นต้น อยู่ภายใต้การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาอยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 11 (2) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ประเภทที่ 4 พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเพื่อบังคับใช้ในราชการฝ่ายบริหารสำหรับเรื่องสำคัญบางเรื่อง ตามมาตรา 175 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมายในระดับกฎหมายบัญญัติ เช่นพระราชกฤษฎีกาที่ออกมาเพื่อใช้กับฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียวไม่บังคับใช้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นกรณีที่รัฐบาลเห็นสมควรตราข้อบังคับใช้ในการบริหารงานทั่วไป ในกิจการของฝ่ายบริหาร เช่น พระราชกฤษฎีกาว่าด้วย เบี้ยประชุมกรรมการ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเบิกค่าเช่าบ้านของข้าราชการ พระราชกฤษฎีกาว่ด้วยการร้องทุกข์ในพระราชสำนัก เป็นต้น ถ้ากรณีดังกล่าวมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมายกฎหมายจากถูกตรวจสอบโดยศาลปกครอง ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 11 (2) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
「บทสรุปผู้บริหาร」的推薦目錄:
บทสรุปผู้บริหาร 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
การวิเคราะห์สังเคราะห์งานวิจัยด้วยบทสรุปผู้บริหาร
ผมคิดอยู่เสมอตั้งแต่เคย เป็น ผอ.วิจัย ม.ตาปี เมื่อ ปี 2556 ว่าเราทำอย่างไรกับงานวิจัยที่ได้ทำมาแล้ว นั้นมาแนวทางพัฒนาต่อยอดได้อย่างไร ทั้งตัวผู้วิจัยและหน่วยงานให้ทุนวิจัย จะได้ประโยชน์และมีแนวทางพัฒนาต่อหน่วยงานอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้ทำตามความต้องการเพราะลาออกจากงาน เพื่อเตรียมไปอยู่กับพี่สาวที่เยอรมัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป ว่างงานมาทำงานที่ราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยก็ยังอยู่เสมอ
ในส่วนพัฒนาตนเอง จะดำเนินการต่อยอดงานวิจัย คือ
1. การนำงานวิจัย มาพัฒนา คือ
1) นำงานวิจัยมาเขียนไว้ใน หนังสือ ตำรา เอกสารประกอบการสอน เอกสารคำสอน ในแต่หัวที่เกี่ยวข้อง
2) นำงานวิจัยมาเขียนเป็นหนังสือรายงานวิจัย โดยมีการเขียนเพิ่มเติม ในรูปแบบหนังสือ
2.นำงานวิจัยไปเขียนบทความวิจัย ถึงแม้งานวิจัยเหล่านั้นไปปิดเล่มไปแล้ว
ในส่วนของการพัฒนาองค์กร
1.ในส่วนที่ตนเองสามารถทำได้ ซึ่งตัวเองเป็นบุคลากรในองค์กร ที่สามารถทำได้ก็คือ
1)กระตุ้นให้เพื่อนร่วมวิชาการ เขียนผลงานด้วยงานวิจัย เช่น การเขียนบทความวิจัย มากกว่าการนำงานวิจัยแต่ประชุมวิชาการ เพื่อประโยชน์ต่อการประกันคุณภาพการศึกษา
2)กระตุ้นให้เพื่อร่วมวิชาการ นำงานวิจัยมาบูรณาการ เขียนเอกสารประกอบสอน เอกสารคำสอน หนังสือ ตำรา โดยได้เขียนหนังสือเทคนิคการเขียนผลงานวิชาการบูรณาการสู่การเรียนการสอน: ประสบการณ์ผู้สอน ขายและแจกแก่คณาจารย์ที่สนใจ
2.ในส่วนการพัฒตาที่ตนเองทำไม่ได้ ตัวเอง
1) แต่ได้เสนอแนวคิดการจัดทำยกร่างการคุ้มทรัพย์สินทางปัญญาของบุคลากร กับมหาลัย
2) เสนอให้มกาวิทยาลัยได้ทำการวิเคราะห์ งานวิจัยของมหาลัยว่าได้ประโยชน์อะไร บ้าง ต่อยอดอะไรบ้าง
ถ้าได้ ซึ่งต้องรื้อค้นข้อมูลทั้งหมดหรือต้องการสกัดออกมา ได้จากบทคัดย่อ เท่านั้น อาจก็ไม่ได้ข้อมูลอะไร
ผมได้นั่งคิด ว่าควรมีแนวทางอย่างไร ผมคิดได้ จากที่ผมได้รับทุนวิจัยของวุฒิสภาของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ในรายงานวิจัยนั้นต้องเขียน บทสรุปผู้บริหารด้วย นอกจาก บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ เนื้อหา บทที่ 1 ความเป็นมา บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎี บทที่ 3 วิธีวิจัย บทที่ วิเคราะห์งานวิจัย บทที่ 5 สรุปเสนอแนะ และบรรณานุกรม
ซึ่งในส่วนของบทสรุปผู้บริหาร นั้นทางสำนักเลขาธิการวุฒิสภาได้นำมารวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์ออกมาเป็นเรื่อง ๆ ทำเป็นหนังสือรวมวิจัย เพื่อ
1.บริการวิชาการ
2.เป็นฐานข้อมูลวิเคราะห์ แนวทางการพัฒนายุทธศาสตร์วิจัยของหน่วยงาน เพื่อกำหนดทิศทางงานวิจัย
สำหรับผมเลยเสนอเงื่อนไข ทุนวิจัยของมหาวิทยาลัยให้ทำ “บทสรุปผู้บริหาร” มาด้วยนอกข้อกำหนด และควรทำแบบฟอร์ม แบบให้มีความชัดเจนที่ทุกคนต้องทำ เพราะคิดว่าบทสรุปผู้บริหารมีข้อมูลเพียงพอที่มหาลัยจะทำอะไรต่อไปได้ อะไรมากมาย
บทสรุปผู้บริหาร 在 บทสรุปผู้บริหาร - PTT Global Chemical 的推薦與評價
555/1 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคาร A ชั้น 14-18 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900. สมัครรับข่าวสารบริษัท. © สงวนลิขสิทธิ์ พ ... ... <看更多>
บทสรุปผู้บริหาร 在 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหำช - PTTEP 的推薦與評價
บทสรุปผู้บริหาร. ภาพรวมเศรษฐกิจ. ผลการด าเนินงาน. โครงการที่สาคัญ. กลยุทธ์การบริหาร. แนวโน้มธุรกิจ. 1. บทสรุปผู้บริหาร. ผลประกอบการของ ปตท.สผ. ... <看更多>
บทสรุปผู้บริหาร 在 บทสรุปผู้บริหาร - YouTube 的推薦與評價
ชุดวิชา 32302 การจัดการการตลาด เรื่อง บทสรุปผู้บริหาร วิทยากรโดย ผศ.ดร. ... <看更多>