เหตุผลของ บางจากฯ ในการผลิตน้ำมัน E20 พรีเมียม แต่ขายในราคาน้ำมันเกรดธรรมดา
บางจากฯ x ลงทุนแมน
การระบาดของโควิด 19 ตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาถึงปัจจุบัน
ได้ทำให้คนทั่วไปทำงานอยู่บ้านและลดการเดินทางออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น
ปรากฏการณ์นี้ได้กดดันไปยังความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
3 เดือนแรก ปี 2564 กลุ่มน้ำมันดีเซลมีการใช้งานเฉลี่ย 67.25 ล้านลิตรต่อวัน
ลดลง 1.7% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนกลุ่มน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 31.08 ล้านลิตรต่อวัน
ลดลง 1.3% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ยิ่งหากเราดูข้อมูลเจาะลึกลงไป ก็ยิ่งพบความจริงที่น่าสนใจมากขึ้น
เมื่อปริมาณการใช้น้ำมันเกือบทุกประเภทของทั้ง 2 กลุ่ม ลดลงต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็น B7, B20 ที่อยู่ในกลุ่มดีเซล
หรือจะเป็น เบนซิน 95, แก๊สโซฮอล์ 91, E85 ที่อยู่ในกลุ่มเบนซิน ก็ลดลงเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือ ในวันที่สภาวะน้ำมันหลายสูตรกำลังถดถอย
แต่แก๊สโซฮอล์ E20 กลับเติบโตสวนกระแส
แล้วหนึ่งในบริษัทพลังงานที่เป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดนี้เติบโตก็คือ บางจากฯ
โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดคือการลงทุนคิดค้นแก๊สโซฮอล์ E20 S EVO
ที่ว่ากันว่า เป็นสูตร E20 ที่ดีที่สุดของ บางจากฯ ที่เคยคิดค้นมา
ทำไม บางจากฯ ถึงให้ความสำคัญกับ แก๊สโซฮอล์ E20
แล้วสูตรใหม่นี้ จะตอบโจทย์การขับขี่และสุขภาพเครื่องยนต์รถ ได้ดีแค่ไหน
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ช่วงที่ผ่านมา อัตราการใช้ แก๊สโซฮอล์ E20 ในถนนเมืองไทยอยู่ในสถานะโตระเบิด
แม้ต้องเผชิญโจทย์อันท้าทายกับการระบาดของโควิด 19 ที่คนเดินทางบนถนนน้อยลง
ปี 2560 ปริมาณการใช้แก๊สโซฮอล์ E20 เฉลี่ย 5.21 ล้านลิตรต่อวัน
ปี 2564 ปริมาณการใช้แก๊สโซฮอล์ E20 เฉลี่ย 6.34 ล้านลิตรต่อวัน (คิดค่าเฉลี่ย 3 เดือนแรกของปี)
จะเห็นว่าภายในเวลา 4 ปี ปริมาณใช้งานต่อวันของ E20 เติบโตถึง 21.7% เลยทีเดียว
เหตุผลของการเติบโตก็น่าจะมาจากราคาที่เข้าถึงง่ายหากเทียบกับน้ำมันสูตรอื่น ๆ
ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือ การพัฒนาสูตรน้ำมันของแต่ละบริษัทมุ่งตอบโจทย์กับสภาพรถในยุคนี้
เมื่อการแข่งขันเข้มข้นมากขึ้น พร้อมกับตลาดที่โตอย่างก้าวกระโดด
บางจากฯ ก็เลยลงทุนพัฒนาแก๊สโซฮอล์ E20 S EVO ซึ่งเป็นสูตรใหม่ล่าสุด
โดยการพัฒนาครั้งนี้ทำให้ บางจากฯ กำลังทำในสิ่งที่คู่แข่งไม่ทำ
เพราะรู้หรือไม่ E20 S EVO ที่ บางจากฯ พัฒนาขึ้นมานั้น
มีคุณภาพเทียบเท่าน้ำมันเกรดพรีเมียม แต่ยังคงราคาขายเท่าเดิม
เหมือนเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ตลาดนี้
แล้วมาตรฐานใหม่ที่ บางจากฯ สร้างขึ้นมายังมีจุดเด่นอะไรอีกบ้าง
ข้อแรกสุดคือ E20 S EVO เป็นน้ำมัน E20 มาตรฐาน Euro 5 ที่ดีต่อรถ ดีต่อโลก
ซึ่งบางจากฯ พัฒนา E20 จนได้มาตรฐาน Euro 5 รายแรกในเอเชียมาตั้งแต่ปี 2556
หลายคนอาจสงสัยว่ายูโร 5 ที่ได้ยินบ่อย ๆ นั้นคืออะไร
อธิบายง่าย ๆ คือ เป็นมาตรฐานควบคุมการปล่อยมลภาวะจากเครื่องยนต์ของสหภาพยุโรป
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ทำให้ค่ายรถต่าง ๆ ทั่วโลก พยายามพัฒนาเครื่องยนต์ลดมลภาวะทางอากาศ
แน่นอนว่าบริษัทพลังงานทั่วโลกก็ต้องพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สอดรับกับเครื่องยนต์ตามมาด้วย
โดยมาตรฐานนี้เริ่มตั้งแต่ Euro 1 และปรับเกณฑ์สูงขึ้นเรื่อย ๆ
จนปัจจุบันเป็น Euro 6 ส่วนในเมืองไทยกำลังไปสู่มาตรฐาน Euro 5
โดยมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิง Euro 5 จะมีซัลเฟอร์ลดลง 5 เท่าหากเทียบกับ Euro 4
ข้อดีก็คือ ช่วยลดมลภาวะจากการเผาไหม้ดีขึ้นกว่าเดิม
อากาศรอบตัวเราก็สะอาดขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5
และด้วยจุดยืนของ บางจากฯ ที่เป็นบริษัทพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
การเลือกจะตรึงราคาขายเดิมไว้ ก็เพื่อจูงใจให้รถบนถนนที่สามารถเติม E20 ได้
จำนวน 3 ล้านคันในเมืองไทย หันมาเติม E20 ให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบันที่มีเพียง 35% เท่านั้นที่เติม
หากทำสำเร็จก็จะช่วยให้มลภาวะทางอากาศของเมืองไทยลดลงอย่างมาก
นั่นหมายความว่าบางจากฯ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ข้อแรกคือ ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น ข้อสองคือ การมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม
ที่เป็นภาพลักษณ์นโยบายหลักขององค์กรมาอย่างยาวนาน
และการจะทำอย่างนั้นได้ E20 S EVO ของบางจากฯ ต้องเป็นมากกว่าพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
แต่ต้องตอบโจทย์การขับขี่และรักษาสุขภาพเครื่องยนต์ของรถให้ได้ด้วย
เพราะต้องยอมรับว่าลึก ๆ ในใจของเราทุกคนเวลาเติมน้ำมัน
นอกจากต้องการให้รถปล่อยมลภาวะน้อยลงแล้วนั้น ก็ยังต้องการให้รถมีสมรรถนะที่ดี
อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ก็คือ ปัจจุบันค่ายผู้ผลิตรถยนต์เริ่มทยอยเปลี่ยนหัวฉีด
เป็นระบบ GDI หรือที่เรียกว่า Gasoline Direct Injection ซึ่งเป็นการฉีดน้ำมันตรงเข้าห้องเผาไหม้ทันที
ทำให้การพัฒนาน้ำมัน E20 ที่ผ่านมา บางจากฯ ต้องคิดเผื่อ 2 ทางคือ
เป็นน้ำมันที่รองรับการใช้งานได้ดีทั้งรถเบนซินหัวฉีดรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ นั่นเอง
ดังนั้นเมื่อปี 2559 จึงเป็นอีกครั้ง ที่บางจากฯ สร้างปรากฎการณ์ใหม่
ให้น้ำมัน E20 ด้วยสูตรที่รองรับเครื่องยนต์ระบบ GDI โดยเฉพาะ
ขณะเดียวกันรถที่เติม E20 ทุกรุ่นก็สามารถใช้ได้ดีไม่แพ้กัน
โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา บางจากฯ ได้ยกระดับ E20 ไปอีกขั้นเป็น E20 S EVO
โดยใช้เทคโนโลยี Green S Revolution ที่นอกจากรักษาสิ่งแวดล้อม
ก็ยังทำให้รถมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีและช่วยรักษาเครื่องยนต์
เรื่องนี้ถูกพิสูจน์โดยการนำ E20 S EVO ไปทดสอบคุณภาพจากนักแข่งรถ
จนถึงกูรูด้านยานยนต์ซึ่งต้องบอกว่าผลทดสอบ เป็นอะไรที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ผลทดสอบจากนักแข่งรถพบว่ารถที่เติม E20 S EVO
พุ่งทะยานดีขึ้นและเร่งเครื่องได้ดีกว่าสูตรเดิม
พร้อมกับให้แรงบิดที่เหนือกว่าและมีการเผาไหม้ดีขึ้นกว่าสูตรเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน
ด้านกูรูยานยนต์ เผยผลทดสอบว่า E20 S EVO สูตรใหม่
มีสาร S Dual Purifier ช่วยชะล้างทำความสะอาดหัวฉีดได้ 100%
นั้นแปลว่ายิ่งเครื่องยนต์สะอาดมากเท่าไร การเผาไหม้เชื้อเพลิงก็จะสมบูรณ์แบบมากเท่านั้น
ผลที่ตามมา คือทำให้อัตราการเร่งเครื่องยนต์แรง
ยิ่ง E20 S EVO มีสาร S Turbo Modifier ช่วยลดแรงเสียดทาน และหล่อลื่นผนังกระบอกสูบ
ยิ่งเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้ดีมากขึ้นไปอีก
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันและหลายคนอาจคิดไม่ถึง
เพราะรู้หรือไม่ว่า น้ำมัน E20 เป็นเชื้อเพลิงที่ประหยัดคุ้มค่าที่สุด
หากนำมาเทียบกับ E10 และ E85 โดยคำนวณค่าใช้จ่ายออกมาเป็นกิโลเมตรต่อลิตร
ซึ่งถือว่าตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคโควิด 19 ได้ดีทีเดียว
ถึงตรงนี้การผลิต E20 S EVO สูตรใหม่ของบางจากฯ
นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียว เพราะโจทย์ใหญ่ของบางจากฯ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไหน
นั่นคือ จะทำอย่างไรให้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พร้อมไปกับเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
โดย E20 S EVO เป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้ได้ดี
อย่างที่บางจากฯ มั่นใจว่า ถ้าได้ลองแล้ว จะรู้สึกถึงความแตกต่างได้ตั้งแต่ถังแรก
References
-รายงานการใช้พลังงาน 3 เดือนแรกของปี 2564 ของกระทรวงพลังงาน
-เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
「บริษัท ลงทุนแมน จํากัด」的推薦目錄:
- 關於บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน - Home - Facebook 的評價
- 關於บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน รายได้เท่าไร - ไขปริศนาเพจนักลงทุนสุดปัง - YouTube 的評價
บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
'หุ้นกู้ EDL-Gen’ โอกาสการลงทุนในพลังงานสะอาดที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน
EDL-Gen x ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่า ไทยซื้อไฟฟ้าจากประเทศใดมากที่สุด ?
ปัจจุบัน กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ในไทยกว่า 5,721 เมกะวัตต์ หรือ 12% ของกำลังการผลิตในระบบ มาจากผู้ผลิตในต่างประเทศ
โดยเกือบทั้งหมดเป็นการนำเข้าจาก สปป.ลาว ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ
สอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารแห่ง สปป.ลาว ที่รายงานว่า ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักของประเทศ
ถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยว่า ทำไม สปป.ลาว ผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำได้มากขนาดนั้น ?
ด้วยภูมิศาสตร์ของประเทศที่อุดมสมบูรณ์ เป็นภูเขาสูง มีแม่น้ำหลายสาย รวมถึงนโยบายของรัฐที่เปิดกว้างให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระในภาคเอกชนร่วมลงทุน ทำให้ สปป.ลาว ก้าวสู่การเป็นผู้นำผลิตพลังงานสะอาดในภูมิภาคอาเซียนได้
โดยหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดรายใหญ่ ที่ส่งออกไฟฟ้าให้ไทยคือ ‘บริษัท ผลิต-ไฟฟ้าลาว (มหาชน)’ หรือ EDL-Gen’
ธุรกิจของ EDL-Gen มีความน่าสนใจและมีบทบาทใน สปป.ลาว อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
EDL-Gen เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่ทำธุรกิจมายาวนานกว่า 50 ปี
โดยบริษัทฯ ได้นำมาตรฐาน ISO14001 ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด มาใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าผ่านเขื่อนที่ให้น้ำไหลผ่านตลอดเวลา (Run-off-the-river)
ซึ่งรูปแบบของ Run-off-the-river คือปริมาณน้ำที่ไหลเข้าโรงไฟฟ้าจะเท่ากับปริมาณน้ำที่ไหลออก โดยจะไม่มีการเปลี่ยนทิศทางน้ำหรือกักเก็บน้ำไว้เหนือเขื่อน
เพราะฉะนั้น ระดับน้ำและคุณภาพน้ำจะเป็นไปตามธรรมชาติ ทั้งเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน
จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม รวมถึงไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์น้ำในลุ่มน้ำโขง
ปัจจุบัน EDL-Gen มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,949 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 27 โครงการ กำลังการผลิตรวม 1,683 เมกะวัตต์
แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ EDL-Gen เป็นเจ้าของ 100% จำนวน 11 โครงการ และโครงการร่วมภาคเอกชน (IPP) 16 โครงการ
ซึ่งไทยถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อไฟฟ้าจาก EDL-Gen ในสัดส่วนสูงถึง 42% ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั้งหมด
แล้วฐานะการเงินของ EDL-Gen เป็นอย่างไร ?
ปี 2561 สินทรัพย์ 75,149 ล้านบาท รายได้ 5,964 ล้านบาท
ปี 2562 สินทรัพย์ 78,825 ล้านบาท รายได้ 5,292 ล้านบาท
ปี 2563 สินทรัพย์ 82,313 ล้านบาท รายได้ 5,698 ล้านบาท
สำหรับการเติบโตของ EDL-Gen หลังจากนี้ บริษัทฯ จะเปิดให้เอกชนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าร่วมลงทุน
เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,435 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 42 โครงการ ภายในปี 2572
แบ่งเป็นโครงการที่ลงทุนและพัฒนาเอง 18 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 974 เมกะวัตต์
และโครงการร่วมทุน 24 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนถือหุ้นรวม 1,461 เมกะวัตต์
สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าในอาเซียนที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจและวิชั่นของ EDL-Gen ที่จะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มั่นคงเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
และขับเคลื่อน สปป.ลาว ให้พัฒนาสู่การเป็นผู้นำการผลิตพลังงานสะอาดของภูมิภาค
ตามเทรนด์ Green Energy ที่เป็นเมกะเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ
หลายปีที่ผ่านมา ไทยได้พึ่งพิงพลังงานไฟฟ้าจาก สปป.ลาว เป็นจำนวนมาก
จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2561-2580 (PDP 2018) ก็ระบุว่า ประเทศไทยสามารถรับซื้อ ไฟฟ้าจากต่างประเทศได้อีก 3,500 เมกะวัตต์ โดยจะเป็นการซื้อจาก สปป.ลาว ในปริมาณกว่า 3,000 เมกะวัตต์
เร็ว ๆ นี้ EDL-Gen เตรียมเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 6,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยที่เสนอขายไม่เกิน 6 ล้านหน่วย
ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2567 หรือมีอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.90% ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้
เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2564
โดยหุ้นกู้และผู้ออกหุ้นกู้ EDL-Gen ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB-” และแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564
หุ้นกู้จะถูกเสนอขายแก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ นักลงทุนรายใหญ่ที่ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท จองซื้อขั้นต่ำ 100 หน่วย
ที่บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), และ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จํากัด (มหาชน) จองซื้อประมาณวันที่ 5, 6, 7 กรกฎาคม 2564
โดยมี บริษัท ทวิน ไพน์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการเงินชั้นนำในการระดมทุนให้กลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย (CLMVT) เป็นที่ปรึกษาในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของ EDL-Gen ครั้งนี้
สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นกู้ EDL-Gen สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.edlgen.com.la
คำเตือน
1. โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
2. ตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยมีสภาพคล่องต่ำ การขายตราสารในตลาดรองนั้นอาจได้รับมูลค่าขายตราสารลดลง หรือเพิ่มขึ้นได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาวะและความต้องการของตลาดในขณะนั้น
3. อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้เป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น มิใช่สิ่งชี้นำการซื้อขายตราสารหนี้ที่เสนอขาย และไม่ได้เป็นการรับประกันความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร และเมื่อผู้ออกหุ้นกู้หยุดจ่ายดอกเบี้ย (กรณีบริษัทไม่ได้แจ้งเลื่อนการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้) หรือเงินต้น ก็เป็นการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (default) ซึ่งหากผู้ออกหุ้นกู้ประกาศล้มละลายหรือผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ผู้ถือหุ้นกู้ และเจ้าหนี้อื่นของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้จะมีบุริมสิทธิเหนือผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ในการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกหุ้นกู้ ผู้ลงทุนสามารถดูผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ หรือผู้ออกหุ้นกู้ (credit rating) ที่จัดทำโดยสถาบันจัดอันดับความเสี่ยง ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ ถ้า credit rating ของหุ้นกู้ หรือผู้ออกหุ้นกู้ต่ำ แสดงว่าความเสี่ยงด้านเครดิตของหุ้นกู้หรือผู้ออกหุ้นกู้สูง ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับควรจะสูงด้วยเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงของหุ้นกู้ดังกล่าว
References
- EDL-Gen’s Presentation
- https://www.facebook.com/thematterco/posts/2054511904764201/
- https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=80&Itemid=116
- https://thaipublica.org/2021/04/edl-gen-supports-lao-to-become-asean-clean-energy-leader/
บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย X ลงทุนแมน
ทำไม รถเอสยูวี ปลั๊กอินไฮบริด แบรนด์มิตซูบิชิ ติดอันดับรถยอดนิยมอันดับ 1 ในตลาดยุโรป
ตลาดรถยนต์ที่นั่งในยุโรป เป็นเหมือนกำแพงขนาดใหญ่
ที่แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นยากจะสอดแทรกเข้ามาได้
11 เดือนของปี 2020 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ข่าว CleanTechnica รายงานสถิติยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งรวมถึงแบบไฮบริดและแบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ ในทุกประเภทรถ ในทวีปยุโรป
ผลปรากฏว่าใน 5 อันดับแรกกลับไร้ซึ่งแบรนด์รถญี่ปุ่นติดอยู่ในลิสต์
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราคุ้นชินเห็นเป็นประจำเกือบทุก ๆ ปี
แต่ ลงทุนแมน ก็ได้เห็นข้อมูลอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ
เพราะเชื่อหรือไม่ว่า หากเราโฟกัสเฉพาะรถยนต์เอสยูวีแบบปลั๊กอินไฮบริด
กลับมีแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นหนึ่ง สร้างยอดขายถล่มทลายในตลาดยุโรป
รถรุ่นนั้นมีชื่อว่า “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” ที่มียอดขายสูงสุดในยุโรปถึง 26,673 คันในปีที่ผ่านมา
ส่วนยอดขายสะสมทั่วโลกใน 60 ประเทศอยู่ที่ 270,000 คัน
ถึงแม้ตลาดรถยนต์ SUV ปลั๊กอินไฮบริด ในยุโรป จะเป็นตลาดที่เพิ่งเริ่มต้นไม่นาน
ไม่ได้มียอดขายมหาศาล แต่อีกมุมหนึ่ง มันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
ที่รถแบรนด์ญี่ปุ่นจะมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในตลาดรถยุโรป
ความสำเร็จตรงนี้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ว่าเหตุผลใดคนในทวีปยุโรปเลือกมอง “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ก็น่าจะมาจากฟังก์ชัน ระบบการขับขี่ สมรรถนะที่ดี คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็เลยมีสมมติฐานที่น่าสนใจว่า
หากเรานำรถรุ่นนี้มาเปรียบเทียบกับรถยนต์เอสยูวีแบบปลั๊กอินไฮบริด ของยุโรปที่ขายอยู่ในเมืองไทย
“มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” จะเป็นรถที่คุ้มค่ามากแค่ไหน
ลงทุนแมน จะวิเคราะห์ให้ฟัง
รู้หรือไม่ว่า.. ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดขายรถเอสยูวีทั้งขนาดใหญ่และเล็กในเมืองไทย
มียอดขายเติบโตต่อเนื่อง เหตุผลคือคนไทยกำลังมองหารถที่ใช้งานคุ้มค่า
สามารถใช้ขับไปทำงานก็ได้ หรือจะใช้ขนของ จนถึงพาครอบครัวไปเที่ยวออกไปใช้ชีวิต
และเมื่อพฤติกรรมการใช้งานเป็นแบบนี้ คนที่จะซื้อรถยนต์อเนกประสงค์
ก็มักจะมองไปที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นหลัก
แต่หนึ่ง Pain Point ที่หลายคนลังเลก็คือการกินน้ำมันมากกว่าระบบขับเคลื่อน 2 ล้อพอสมควร
ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นรถเอสยูวี ขับเคลื่อน 4 ล้อที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100%
แต่ในความเป็นจริงก็คงต้องยอมรับว่า ณ วันนี้ โครงสร้างพื้นฐาน ที่จะให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ EV Car วิ่งเต็มถนนเมืองไทย ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง
เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปี
พอเป็นแบบนี้ รถยนต์แบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV)
ที่สามารถใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่า
เพราะเราสามารถสลับพลังงานในการขับขี่ได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์การขับขี่
ณ เวลานี้รถ SUV ประเภท PHEV ในเมืองไทยกำลังมีตัวเลือกมากขึ้น
โดยเฉพาะรถยุโรปหรูขับเคลื่อน 4 ล้อ มีราคาขายอยู่ที่ 3-4 ล้านบาท
ส่วน “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” เริ่มต้นที่ 1.6-1.7 ล้านบาท
จะเห็นว่าราคาขายรถแบรนด์ยุโรปสูงกว่าเกือบ ๆ เท่าตัว
แต่ในเรื่องสมรรถนะจนถึงฟังก์ชันการใช้งานใกล้เคียงกัน
หรือจะพูดว่า เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี มีมากกว่าด้วยซ้ำ
“มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” จึงเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับคนที่กำลังมองหา PHEV
รู้หรือไม่ว่า รถยนต์เอสยูวีแบบปลั๊กอินไฮบริดที่ขายในเมืองไทยตอนนี้
ยังไม่มีรถคันไหนมีฟังก์ชันสุดล้ำในการจ่ายไฟฟ้าออกจากตัวรถเพื่อนำไปใช้งานอย่างอื่น
แต่ “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” สามารถทำในสิ่งที่รถ SUV คันอื่นทำไม่ได้
ด้วยการจ่ายไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ของตัวรถได้ถึง 1,500 วัตต์
โดยวิธีใช้ก็แสนง่าย แค่เสียบต่อเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
เรื่องนี้หลายคนอาจจะมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นฟังก์ชันที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันไม่ใช่น้อย
ยกตัวอย่างเช่น หากขับรถไปแคมปิงต่างจังหวัด ทำกิจกรรมนอกบ้าน
เมื่อมีฟังก์ชันนี้ ก็หมายความว่า ถ้าเราจะใช้เตาปิ้งย่าง เปิดพัดลม
หรือแม้แต่เสียบปลั๊กไมโครเวฟอุ่นอาหารทานกันในแคมป์ ก็ทำได้ทันที
ด้วยการเสียบปลั๊กไปที่ช่องจ่ายกระแสไฟฟ้าที่มีให้ถึง 2 จุดเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ S-AWC
ไม่ว่าเส้นทางจะโหดหินแค่ไหน ก็ลุยได้ทุกสภาพถนน
ที่น่าสนใจกว่านั้น ใครจะคิดว่ารถคันนี้ จะสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าให้กับตัวเองได้
แต่เรื่องนี้มันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
รู้ไหมว่า “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” สามารถชาร์จไฟได้เกือบเต็มในเวลา 40-45 นาที แค่กดปุ่ม Save/Charge หรือหากเราขับรถไปยังสถานีชาร์จ ก็สามารถชาร์จไฟแบบเร็ว (Quick Charge) ด้วยหัวชาร์จ CHAdeMO ให้กำลังไฟ 80% ในเวลาเพียง 25 นาที หรือหากชาร์จเข้ากับปลั๊กไฟที่บ้านโดยรูปแบบปกติให้กำลังไฟ 100% จะใช้เวลา 4 ชั่วโมง
สรุปก็คือ “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” ได้ทลายความลังเลใจในการชาร์จไฟ
ด้วยจุดขายคือการชาร์จไฟเข้าตัวรถด้วยวิธีอันหลากหลาย จนถึงสร้างพลังงานไฟฟ้าด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามการจะซื้อรถระดับราคา 1.6-1.7 ล้านบาท
สิ่งที่หลายคนต้องถามพนักงานขายประจำโชว์รูมก็คือ การรับประกัน และบริการหลังการขาย
แล้วเรื่องนี้แหละ ที่เป็นหนึ่งจุดสำคัญที่จะทำให้รถคันไหน ดูคุ้มค่าในสายตาคนซื้อ
เป็นเรื่องที่ทีมการตลาดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) รู้ดี
ทำให้มีการรับประกันแบตเตอรี่รวมถึงอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ EV นานถึง 10 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร จนถึงการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง รวมถึงรับประกันคุณภาพพร้อมค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี
จะเห็นว่าทั้งฟังก์ชันล้ำสมัยจนถึงสมรรถนะการขับขี่ของ “มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี”
นอกจากเทียบกับรถยุโรปจะไม่ได้เป็นรองแล้วนั้น บริการหลังการขายก็ดูคุ้มค่า
ทำให้เมื่อมองภาพรวมรถคันนี้กับราคาขาย 1.6-1.7 ล้านบาท
เป็นอะไรที่คุ้มค่าเลยทีเดียว
ส่วนเหตุผลที่รถรุ่นนี้ทำราคาออกมาได้น่าสนใจ
นั่นเป็นเพราะผลิตในโรงงาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จังหวัดชลบุรี
ที่ได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีต่าง ๆ ทำให้รถ High-technology อย่าง เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี
สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับรถยนต์ SUV ปลั๊กอินไฮบริด
ของยุโรปที่ขายอยู่ในเมืองไทยในเวลานี้
เหตุผลของการทำราคาเพื่อให้เข้าถึงได้นั้น ก็เพื่อให้รถรุ่นนี้ วิ่งบนถนนเมืองไทยและทั่วโลก
ให้มีจำนวนมากที่สุด และเกิดกระแสบอกต่อถึงคุณภาพรถปลั๊กอินไฮบริด ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
จากนั้นเมื่อรถรุ่นใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า ปลั๊กอินไฮบริด ที่จะออกสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้
ลูกค้าก็จะเชื่อมั่นในคุณภาพรถ และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ว่า.. เป้าหมายของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คือในปี 2573 หรืออีก 9 ปีข้างหน้า
ต้องการที่จะเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายรถในกลุ่มรถพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 50% จากยอดขายทั้งหมด
เลยทีเดียว..
References
- เอกสารวิเคราะห์การตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด
- https://cleantechnica.com/2020/12/29/record-electric-vehicle-sales-in-europe/
บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน รายได้เท่าไร - ไขปริศนาเพจนักลงทุนสุดปัง - YouTube 的推薦與評價
ลงทุนแมน มีผู้ติดตามเฟสบุ๊ค หลักแสน หลักล้าน นี่ได้เงินเท่าไร ... ไขปริศนาเพจนักลงทุนสุดปัง | บริษัท แอลทีแมน จำกัด (LONGTUNMAN). ... <看更多>
บริษัท ลงทุนแมน จํากัด 在 ลงทุนแมน - Home - Facebook 的推薦與評價
ลงทุนแมน ลงทุนในความรู้ สนใจโฆษณาติดต่อได้ที่ [email protected] Website - longtunman.com. Blockdit - blockdit.com/longtunman ... <看更多>