"สันติวิธี ตามแนววิถีธรรม"
โดย รศ.ประณต นันทิยะกุล
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 08:00:58 น.Tweet
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 "สันติวิธี" หมายถึง วิธีที่จะก่อให้เกิดความสงบหรืออาจกล่าวได้ว่า ความสงบ เป็นความสุขที่เกิดจากสันติสุข หรือ สันติวิธี
ท่านมหาตมะ คานธี ใช้หลักอหิงสาเป็นหลักการต่อสู้ด้วยสันติวิธี เป็นแนวทางการต่อสู้กับผู้มีอำนาจบารมีที่เหนือกว่า โดยยึดหลักด้วยสัตยาครหะ ใช้ความรัก ความเมตตา กรุณา จิตใจที่บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ แต่ยอมรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ ท่านมหาตมะ คานธี เห็นว่าผู้มีความกล้าหาญและจิตใจที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะทำได้
หลักการสำคัญของการต่อสู้โดยสันติวิธี เริ่มต้นจากการประนีประนอมยอมความ เจรจาต่อรองเมื่อไม่สำเร็จขั้นต่อไป คือ ความไม่ร่วมมือ ปัจจุบันนิยมใช้ "อารยะขัดขืน" เป็นการต่อสู้โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นธรรมมีการกระตุ้นให้สังคมโดยรวมเห็นว่ามีความอยุติธรรมเกิดขึ้น เห็นผิดเป็นชอบใช้อำนาจเกินขอบเขต มีการละเมิดกฎหมาย เป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรม
ขั้นต่อไปของการต่อสู้ตามหลักอหิงสา คือ การเดินขบวนประท้วงหรือ การใช้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด หากยังไม่เป็นผลขั้นต่อไป คือ การนัดหยุดงาน เลิกติดต่อซื้อขาย เลิกสมาคม จนถึงไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่เสียภาษี ฯลฯ และเนรเทศตนเองออกไปเสียจากถิ่นที่อยู่อาศัย ขั้นสุดท้ายเป็นขั้นที่ทำได้ยาก เมื่อไม่มีวิธีใดจะขัดขืนหรือสู้กับผู้มีอำนาจเหนือกว่าก็คือ การอดอาหารเป็นการทรมานตนเองให้ได้รับความทุกข์ ความเจ็บปวด เพื่อแลกกับอธรรม ความไม่ถูกต้อง และผู้มีอำนาจใช้อำนาจกดขี่เอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยกว่าและไม่มีทางต่อสู้ ซึ่งวิธีการดังกล่าวท่านมหาตมะ คานธี ได้นำมาใช้ต่อสู้กับประเทศอังกฤษจนประสบความสำเร็จ
จะเห็นได้ว่าการต่อสู้โดยสันติวิธีเป็นการต่อสู้โดยสงบ เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ช่วยกันแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน จึงจะได้ผลอย่างสันติวิธี
การออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แบบสุดซอยเป็นตัวอย่างหนึ่งของความขัดแย้งบานปลาย ซึ่งเริ่มมีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ความขัดแย้งในสภาผู้แทนราษฎร ความขัดแย้งในวุฒิสภา กลายเป็นการต่อสู้ขัดแย้งของมวลชนสองฝ่าย จนกลายเป็นการต่อสู้ขัดแย้งเรื้อรังแบบสุดซอยในระยะต่อมาเมื่อถึงขั้นนั้นยังนึกไม่ออกว่าบ้านเมืองของเราจะบอบช้ำแค่ไหน หรืออาจถึงขั้นเศรษฐกิจสังคม และการเมืองล่มสลาย แบบสุดซอยก็อาจจะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประชาชนคนในประเทศอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข มีความรักความสามัคคี ประเทศชาติมีความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไม่ล่มสลาย
ผู้นำที่เป็นผู้บริหารประเทศก็ดี สมาชิกรัฐสภา ผู้ทรงเกียรติก็ดี ถ้าได้คนดีมีความประพฤติดี คิดดี ทำดี เป็นผู้ที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ เป็นคนที่มีความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน หรือเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "สัตบุรุษ" อันเป็นเครื่องหมายของคนดี มาเป็นผู้บริหารประเทศ มาเป็นผู้ออกกฎหมายใช้บังคับที่เป็นธรรมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สังคม ประเทศชาติ และประชาชนก็จะมีแต่ความสุข ความรัก ความสามัคคี ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยถ้วนหน้า
คนดีที่กล่าวถึงนี้เป็นคนดีที่เรียกว่า "สัตบุรุษ" มีคุณสมบัติ 7 ประการ ได้แก่ 1) เป็นผู้รู้จักเหตุ 2) รู้จักผล 3) รู้จักตน 4) รู้จักประมาณ 5) รู้จักกาลเวลา 6) รู้จักชุมชน 7)รู้จักเลือกบุคคล รู้จักเลือกคนดี เข้ามาทำหน้าที่ปกครองบ้านเมือง
ดังนั้น ถ้าได้คนดี คนที่เรียกว่า "สัตบุรุษ" มาทำหน้าที่ บ้านนี้เมืองนี้ก็จะประสบพบแต่สิ่งที่ดีงาม ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดิน ก็จะมีแต่ความสงบสุข ประเทศชาติก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
กระบวนการบริหารประเทศก็ดี การออกกฎหมายมาบังคับใช้ก็ดี เมื่อเราได้คนดี คือ "สัตบุรุษ" หากนำหลักสาราณียธรรม คือ ธรรมที่ทำให้ระลึกถึงกัน พึงปฏิบัติต่อกันและอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธีได้แก่ 1) กายกรรม ช่วยกันทำกิจธุระของกันและกัน 2) วจีกรรม มีวาจาอ่อนหวาน ทำดีก็สรรเสริญ หากทำไม่ถูกต้องก็สั่งสอนกันด้วยวาจาที่สุภาพ 3) มโนกรรม มีจิตเมตตาต่อกัน คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน เมื่อทำกิจการงานอันใดสำเร็จก็แสดงความยินดีด้วยความจริงใจ 4) แบ่งปันกัน เมื่อได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ลาภผลมาโดยสุจริต ควรแบ่งปันกันไม่เก็บไว้แต่เพียงผู้เดียว 5) ปฏิบัติเสมอกันมีจิตเที่ยงธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 6) ความเห็นร่วมกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันเมื่อความเห็นไม่ตรงกัน ต้องประชุมปรึกษาหารือกันอย่างสันติวิธี
หากผู้บริหารนำหลักธรรมดังกล่าวมาใช้กับการบริหารในทุกระดับ ปัญหาต่างๆ ก็จะสามารถแก้ไขได้ ความสามัคคี ปรองดองย่อมเกิดขึ้นได้
วิถีธรรมนำทางสู่สันติ ของผู้บริหารประเทศไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ หรือองค์กรอิสระ ผู้ใช้อำนาจนำ มรรคมีองค์ 8 คือ การปฏิบัติที่ดี ที่ชอบ ที่ผู้นำประเทศต้องประพฤติปฏิบัติให้ครบถ้วนมี 8 ประการคือ 1) ความเห็นชอบ ใช้ปัญญาแยกแยะสิ่งดีสิ่งชั่วและนำสิ่งดีมาปฏิบัติ 2) ดำริชอบ พูดและทำสิ่งที่ดีงามให้ประเทศชาติประสบแต่สิ่งที่ดีงาม 3) เจรจาชอบ วาจาอ่อนหวาน พูดในสิ่งที่ควรพูด เจรจาในสิ่งที่ควรเจรจา 4) การงานชอบ ทำในสิ่งที่ดีงามเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ 5) เลี้ยงชีพชอบ ประกอบสัมมาอาชีพที่สุจริต 6) ความเพียรชอบ พยายามสร้างความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิด และรักษาความดีที่มีอยู่ให้คงอยู่ ยั่งยืนสถาพร 7) ระลึกชอบ ระลึกอยู่เสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่หากกำลังทำดีให้ทำต่อไป หากกำลังทำไม่ดีก็ให้ละเว้นเสีย 8) ตั้งใจไว้ชอบชาตินี้ตั้งใจไว้ว่าจะทำดี จะทำแต่สิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติ
ดังตัวอย่างที่จะขอยกพระเจ้าอโศกมหาราชจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดีย ที่เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ใช้ความรุนแรง คือการทำสงครามแล้วผนวกดินแดน ยึดทรัพย์สินเงินทอง ผู้คนมาเป็นของพระองค์ ท่ามกลางความเสียหาย ผู้คนล้มตายอย่างมหาศาลของทั้งสองฝ่าย พระองค์ทรงรู้สึกโทมนัสอย่างสุดแสนสาหัส และต่อมาได้ศึกษาค้นพบ แนววิถีธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เปลี่ยนแนววิถีชีวิตแบบใช้ความรุนแรง คือ การทำสงครามมาเป็นแบบธรรมราชา อาศัยความเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นธรรมนำทาง นำความสุข สวัสดีมาสู่ไพร่ฟ้าประชาชนชาวอินเดียอย่างอเนกอนันต์ และยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาขจรขจายไปทั่วโลกจนทุกวันนี้ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็น "มหาราช" ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก โดยใช้วิธีการ "สันติวิธีตามแนววิถีธรรม"
ประเทศไทยเราขณะนี้มีความขัดแย้งและนับวันจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากจะนำบทเรียนตามที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงปฏิบัติและเปลี่ยนเป็นแนววิถีธรรมมาเป็นแบบใช้กับสังคมไทยก็จะก่อให้เกิดสันติสุขสถาพรสืบไป
(ที่มา:มติชนรายวัน 20 ธ.ค.2556)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
มุทิตา หมายถึง 在 มุทิตา' คือความยินดีเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข 'มุทิตา' จึงเป็นดังเกราะไม่ให้ ... 的推薦與評價
' มุทิตา ' คือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข 'มุทิตา' จึงเป็นดังเกราะไม่ให้ 'ริษยา' เกิด… แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ... ... <看更多>
มุทิตา หมายถึง 在 ความหมายของการมุทิตา... - สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย 的推薦與評價
ความหมายของการมุทิตา มุทิตา หมายถึงความเป็นผู้มีใจชื่นชมยินดี ในเมื่อผู้อื่นได้ดีหรือได้รับความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง... ... <看更多>