“อูฐ” แนวทางสตาร์ตอัปช้าแต่ชัวร์ ขั้วตรงข้ามยูนิคอร์น /โดย ลงทุนแมน
หนึ่งในการวัดความสำเร็จของสตาร์ตอัป นั่นก็คือการได้เป็น “ยูนิคอร์น”
หรือการที่บริษัท ได้รับการประเมินมูลค่าตั้งแต่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 3 หมื่นล้านบาทขึ้นไป
ยูนิคอร์นได้กลายเป็นเป้าหมายของเหล่าสตาร์ตอัป
โดยบริษัทเหล่านี้ต้องมีนวัตกรรมโดดเด่นมากพอ เพื่อดึงดูดนักลงทุน
เพราะยิ่งบริษัทได้เงินทุนมาก ก็ยิ่งเร่งการเติบโตของธุรกิจ
ให้เร็วขึ้นและบริษัทก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แม้ว่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่สตาร์ตอัปส่วนใหญ่เติบโตมาจากผลการขาดทุนมหาศาล
แต่ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนรับได้ เพราะความสามารถในการทำกำไร ยังไม่สำคัญเท่าความเร็วในการเติบโต
แม้แนวทางแบบนี้จะใช้กันเป็นเรื่องปกติมานาน
แต่ในปีที่ผ่านมา ภาวะสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ได้ทำให้นักลงทุนรวมถึงผู้ประกอบการ
มองว่าแนวทางแบบยูนิคอร์นมีจุดอ่อนและเริ่มมองหาแนวทางการเติบโตอีกแบบ ที่เรียกว่า Camel หรือแปลว่า “อูฐ”
แล้วแนวทางการเติบโตแบบอูฐคืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Aileen Lee เจ้าของบริษัทที่ลงทุนในสตาร์ตอัป หรือที่เรียกว่า Venture Capital
ซึ่งได้นำคำว่า “ยูนิคอร์น” มาใช้กับวงการสตาร์ตอัปครั้งแรก
ในปี 2013 ผ่านบทความที่เธอเขียน
โดยเธอใช้คำว่า ยูนิคอร์น เพื่อเรียกกลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัป
ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
ในตอนนั้นมีเพียง 39 บริษัท ที่จัดเป็นยูนิคอร์น
คำดังกล่าวจึงเป็นเครื่องยืนยันถึง ความเป็นธุรกิจที่หาได้ยาก นั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน สตาร์ตอัปที่เป็นยูนิคอร์น ได้เพิ่มขึ้นมาเป็นเกือบ 500 บริษัท
นั่นก็เพราะว่าคำว่ายูนิคอร์น ไม่ได้เป็นเพียงแค่เกณฑ์ในการวัดความสำเร็จของสตาร์ตอัปเท่านั้น
แต่มันได้กลายเป็น “แนวทาง” ในการทำธุรกิจสตาร์ตอัปไปแล้ว
ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้น “ความเร็วในการเติบโต”
มากกว่าความสามารถในการทำกำไร
แต่การจะเติบโตได้เร็ว โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ก็ต้องแลกมาด้วยเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก
ซึ่งหลัก ๆ ก็เพื่อขยายฐานลูกค้า ดึงลูกค้าให้มาใช้ผลิตภัณฑ์ให้ได้มากที่สุด ในเวลาที่สั้นที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าการเติบโตเป็นไปได้ตามที่คาด มีฐานลูกค้าที่มากพอ
ก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าค่าใช้จ่าย
เมื่อผ่านจุดนั้นได้สำเร็จ
รายได้ส่วนที่เกินมาทั้งหมดนั้น ก็จะไหลลงมาเป็นกำไร
และจะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในเวลาต่อมา
ตัวอย่างธุรกิจที่เคยเป็นสตาร์ตอัปแบบนี้มาก่อน ก็เช่น Facebook, Uber, Airbnb
อย่างไรก็ตาม มันก็มีบางสตาร์ตอัปที่ยังคงขาดทุนหนัก
เพราะบริษัทยังต้องแลกการเติบโตมาด้วยเงินทุนมหาศาล เช่น การนำเงินทุนไปเป็นเงินอุดหนุนให้ส่วนลด เพื่อกดราคาค่าบริการตัวเองให้ต่ำ เพื่อแลกกับยอดการเติบโตทางธุรกรรม
ธุรกิจประเภทนี้ก็เช่น อีคอมเมิร์ซและแอปพลิเคชันส่งอาหาร
ซึ่งถ้านักลงทุนยังมองเห็นว่าในอนาคต
ธุรกิจนั้นยังมีโอกาสเติบโตเร็ว ก็จะยังให้เงินลงทุนต่อไป
จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสตาร์ตอัปเหล่านี้จึงยังดำเนินต่อไปได้ แม้จะไม่เคยมีกำไรเลยก็ตาม
สำหรับความสำเร็จอีกขั้นของสตาร์ตอัปก็คือ การเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อทั้งเจ้าของบริษัทและผู้ที่มาให้เงินระดมทุน
เจ้าของบริษัทเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่มากขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง
ส่วนผู้ที่มาให้เงินระดมทุน ก็สามารถขายเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อทำกำไรได้
อย่างไรก็ตาม แนวทางแบบยูนิคอร์นที่ยอมให้สตาร์ตอัปขาดทุนหนักมาตลอด
และทำให้สตาร์ตอัปเติบโตได้เร็วจริง จะใช้ได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
แต่ในปีที่ผ่านมา โควิด 19 ที่ทำให้ทั่วโลกเผชิญภาวะเศรษฐกิจขาลง มีความไม่แน่นอนสูง
นักลงทุนจึงเริ่มมาทบทวนว่า แนวทางแบบยูนิคอร์น มีความเสี่ยงสูงเมื่อเกิดวิกฤติและไม่มีความยั่งยืน
นักลงทุน Venture Capital อีกคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า Alex Lazarow
ได้ศึกษาสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จในหลายประเทศ
และพบว่ายังมีแนวทางการเติบโตอีกแบบหนึ่ง นอกเหนือไปจากยูนิคอร์น
เขาเรียกแนวทางนั้นว่า “Camel” หรือ “อูฐ”
สตาร์ตอัปแบบอูฐนั้น ยังคงจุดแข็งในเรื่องไอเดียนวัตกรรมเปลี่ยนโลกเหมือนเดิม
แต่เรื่องแนวทางในการดำเนินธุรกิจ จะมองภาพในระยะยาวมากขึ้น
โดยเน้นที่การเติบโตแบบมั่นคง ช้าแต่ชัวร์ เพื่อให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่น
ผ่านพ้นได้ทั้งช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นขาลง และอยู่ต่อไปได้นานที่สุด
นั่นจึงทำให้ อูฐ ไม่ได้เน้นไปที่ความเร็วในการเติบโต
แต่จะหันมาใส่ใจ “ความสามารถในการทำกำไร” แทน
โดยเริ่มจากคอนเซปต์แรก ก็คือ การเพิ่มความสมดุลระหว่างเงินลงทุนกับรายได้
เป็นเรื่องปกติที่ตอนเริ่มต้นธุรกิจจะต้องใช้เงินลงทุนเยอะเกินกว่ารายได้ที่ทำได้
แต่สตาร์ตอัปต้องไม่ลงทุนหนักจนเกินไป หรือห้ามไม่คิดค่าบริการในตอนแรกเพื่อเร่งโกยฐานลูกค้า
แม้การยอมขาดทุนเพื่อชิงฐานลูกค้าจะเป็นสูตรสำเร็จในอดีต
และถือเป็นกลยุทธ์การเติบโตที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ใช่กลยุทธ์เพียงอย่างเดียวที่ทำให้สตาร์ตอัปประสบความสำเร็จได้
สิ่งที่สตาร์ตอัปแบบอูฐทำก็คือ ตั้งราคาสินค้าและบริการที่เหมาะสมไปเลยตั้งแต่แรก
เพื่อให้ราคาสื่อไปถึงลูกค้า ทั้งในเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
เพราะแม้ว่าการยอมไม่คิดเงินในตอนแรกอาจดูดดึงลูกค้าได้มาก
แต่มันก็อาจจะเป็นผลดีในระยะสั้นและไม่ได้ทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานอยู่กับเราอย่างยั่งยืน
สำหรับมุมมองในเรื่องของการลงทุน
อูฐจะพิจารณาจากเรื่องที่จำเป็นและมีโอกาสสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจมากที่สุดเท่านั้น
อูฐจะมองที่ให้เงินที่ลงทุนไป งอกเงยกลับมาเป็นรายได้ที่มากกว่า
ไม่ใช่ลงทุนแบบสูญเปล่า ได้ไม่คุ้มเสีย
เรื่องแหล่งที่มาของเงินทุน อูฐจะนำกำไรมาลงทุนต่อยอดเป็นหลัก
ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงมีกำไรมาต่อยอดได้
ก็ต้องย้อนกลับไปที่การเลือกลงทุนได้ถูกจุดตั้งแต่แรก
หรือถ้าจะระดมทุน ก็จะทำเมื่อจำเป็นเท่านั้น
และจะระดมทุนมาเท่าที่ต้องการใช้ ซึ่งต้องมีเป้าหมายและแผนงานชัดเจน
ว่าเอาเงินไปทำให้เกิดการเติบโตได้อย่างไร ไม่ใช่เร่งระดมทุนแบบยิ่งมากยิ่งดี
ตัวอย่างอูฐที่โดดเด่นในเรื่องนี้ก็คือ “Zoom”
Zoom เป็นบริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์
ที่เริ่มมาจากสตาร์ตอัปและเพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่บริษัท ที่ทำกำไรได้มานานแล้ว
นอกจากนี้ ก่อนจะเข้าตลาด Zoom ยังผ่านการระดมทุนมาน้อยมากเมื่อเทียบกับบริษัทส่วนใหญ่
โดย Zoom ระดมทุนไปเพียง 4,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับบริษัทที่มีมูลค่าใกล้เคียงกันอย่าง Snapchat
ที่ระดมทุนไปถึง 83,000 ล้านบาท และผลประกอบการยังคงขาดทุนอยู่จนถึงปัจจุบัน
คอนเซปต์ถัดมาของอูฐ ก็คือ การเพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจหรือกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจนั่นเอง
เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจมีขึ้นมีลง
แต่ละประเภทธุรกิจก็มีช่วงขาขึ้นและขาลงแตกต่างกันไป
บริษัทส่วนใหญ่จึงมักสร้างระบบนิเวศให้กับธุรกิจตัวเอง
โดยแตกธุรกิจออกไปหลายประเภท แต่ยังคงเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศด้วย
เพราะแต่ละประเทศก็มีช่วงขึ้นลงของเศรษฐกิจต่างกันไป
ตัวอย่างอูฐที่โดดเด่นในเรื่องนี้ก็คือ Amazon
Amazon ที่นอกจากจะลงทุนในระบบธุรกิจอื่น
ที่เกื้อหนุนธุรกิจหลักอย่างอีคอมเมิร์ซแล้ว
ยังขยายไปทำ Amazon Web Services หรือ บริการประมวลผลบนคลาวด์
ให้กับบริษัทต่าง ๆ ในหลากหลายประเภทธุรกิจ
จนปัจจุบัน ได้กลายมาเป็นแหล่งรายได้สำคัญของ Amazon ไปแล้ว
และแม้ในช่วงที่ Amazon เพิ่งเริ่มต้น จะยังขาดทุนนาน
แต่ไม่ได้ขาดทุนแบบมหาศาล และเป็นการขาดทุน
เพราะนำเงินไปลงทุนวิจัยพัฒนา เพื่อต่อยอดการเติบโตของรายได้
ซึ่งสุดท้ายแล้ว ถ้าความสำเร็จของสตาร์ตอัป
วัดกันที่มูลค่าบริษัท ที่สะท้อนความคาดหวังของนักลงทุน
ทั้งแนวทางแบบยูนิคอร์นและอูฐ
ต่างพิสูจน์แล้วว่าทำให้บริษัทเติบโตและเพิ่มมูลค่าให้บริษัทได้
อยู่ที่แนวทางการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการว่าต้องการใช้กลยุทธ์แบบไหน
ส่วนในมุมมองของนักลงทุน ก็คงต้องมาทบทวนอีกครั้งว่า
เราจะให้น้ำหนักกับการเติบโตอย่างรวดเร็วและยอมให้บริษัทขาดทุนก่อน
หรือการเติบโตไปช้า ๆ แต่ตั้งต้นมาจากความสามารถในการทำกำไร มากกว่ากัน
คำถามที่น่าสนใจปิดท้าย
หากเรามีแนวทางการเติบโตให้เลือก
ระหว่าง “อูฐ” และ “ยูนิคอร์น”
เราจะเลือกแนวทางอะไร ?
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://hbr.org/2020/10/startups-its-time-to-think-like-camels-not-unicorns#
-https://techcrunch.com/2013/11/02/welcome-to-the-unicorn-club/
-https://www.entrepreneur.com/article/347659
-https://marker.medium.com/the-new-hot-startups-will-be-camels-not-unicorns-53d480535916
-https://uxdesign.cc/camels-not-unicorns-are-the-new-darlings-of-silicon-valley-b438d1dd661a
-https://jeffreyleefunk.medium.com/only-6-of-73-unicorn-startups-are-profitable-and-none-did-recent-ipos-287d5c7ac8d0
-https://www.crunchbase.com/organization/zoom-video-communications
-https://www.crunchbase.com/organization/snapchat
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過11萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Youtube影片中提到,5 ปีที่แล้ว มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เห็นอะไรใน Instagram / โดย เพจลงทุนแมน มีใครรู้มั้ยว่ารูปแรกใน Instagram คือรูปอะไร? หลายคนรู้จัก Instagram แต่มีน้อย...
ยูนิคอร์น บริษัท 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最佳解答
หลังจากที่ทุกคนต่างตั้งตารอยูนิคอร์นตัวแรกของไทยมาอย่างเนิ่นนานในวันนี้ Flash Express สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการสตาร์ทอัพไทย โดยการปิดระดมทุนไปด้วยเม็ดเงินรวมแล้วกว่า 4,700 ล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นแท่นสู่ยูนิคอร์นสัญชาติไทยตัวแรกอย่างเป็นทางการ!
.
กลุ่มธุรกิจแฟลช (Flash Group) ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยแบบครบวงจร รวมไปถึง Flash Express ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี ซึ่งถือว่า Flash Group เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในปัจจุบัน Flash Express นั้นมียอดการจัดส่งพัสดุสูงถึง 2 ล้านชิ้น/วัน ยังไม่รวมไปถึงบริการอื่นๆ ในเครือที่มีอีกจำนวนมากและทำยอดการให้บริการได้สูงไม่แพ้กัน นอกจากนี้ทาง Flash Group ยังมีแผนที่จะขยายบริการใหม่ออกไปยังกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
.
ในส่วนของการระดมทุนครั้งนี้ของ Flash Group เป็นการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และซีรีส์ E ซึ่งในรอบซีรีส์ D+ นั้นได้รับการสนับสนุนจาก SCB 10X และ บริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้พริ้นท์ติ้ง จำกัด เข้ามาเป็นผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ และในซีรีส์ E ก็ได้กลุ่มทุนจากสิงคโปร์อย่าง Buer Capital, eWTP, บริษัท ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR, บริษัท เดอเบล จำกัด (Durbell) ภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP, บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด (Krungsri Finnovate) ในเครือกรุงศรี กรุ๊ป รวมไปถึง SCB 10X ที่เข้าร่วมลงทุนในซีรีส์ E นี้อีกด้วย
.
สำหรับการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และซีรีส์ E ปิดดีลไปได้ที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท โดยทางผู้บริหารให้สัมภาษณ์ว่าเงินลงทุนครั้งนี้จะถูกกระจายไปในหลายสัดส่วนทั้งด้านการบริหาร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ครอบคลุมไปถึงการลงทุนในด้านแพลตฟอร์ม eCommerce ที่จะตอบโจทย์ และสร้างความแตกต่างให้แก่ตลาด รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขาย ขยายบริการ และสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ
.
จากการร่วมระดมทุนครั้งนี้เชื่อได้เลยว่าจะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริการขนส่งสัญชาติไทยอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการที่ Flash Express จะมีการร่วมมือกับทางสถานีบริการน้ำมันอย่าง PTT Station ในการเปิดบริการจุดรับส่งพัสดุของ Flash Express ภายในร้าน Café Amazon บางสาขาและยังรวมไปถึงแผนการขยายบริการอื่นๆ อีกในอนาคตซึ่งน่าติดตามไม่แพ้กัน
.
ทั้งนี้หลายคนอาจเข้าใจผิดมานานว่า Flash Group หรือบริการ Flash Express เป็นบริการจากบริษัทสัญชาติจีนไม่ใช่ของไทย แต่ทางผู้บริหารได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า Flash Group เป็นบริษัทของคนไทยที่สร้างและดำเนินธุรกิจโดยคนไทย แต่เพราะการระดมทุนในรอบ A – C นั้นมาจากต่างชาติเสียส่วนมากจึงอาจทำให้คนเข้าใจผิดกันได้
.
ถึงอย่างนั้น Flash Group ก็นับได้ว่าเป็น Startup ของไทยที่สามารถก้าวขึ้นถึงระดับยูนิคอร์นได้เป็นรายแรก โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น โดยในปัจจุบันธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาทไทย และนอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยแล้ว Flash Group ยังเป็นอีกหนึ่งกำลังใจของวงการสตาร์ทอัพไทยที่แสดงให้เห็นแล้วว่าคนไทยเองก็มีความสามารถในการก้าวขึ้นสู่สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นได้เช่นเดียวกัน และก็ได้แต่ตั้งตาคอยว่าไม่นานนี้คงได้มียูนิคอร์นอีกจำนวนมากมาประดับวงการสตาร์ทอัพไทยได้อย่างแน่นอน
.
ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/941086
.
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#FlashExpress #Ecommerce #SEA #ยูนิคอร์น #Startup #Business #ธุรกิจ
ยูนิคอร์น บริษัท 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
ผู้สนับสนุน..
สตาร์ทอัพไทย จะเป็นยูนิคอร์นได้อย่างไร? / โดย ลงทุนแมน
ยูนิคอร์น คือ สตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านบาท
รู้ไหมว่าเพื่อนบ้านที่รายล้อมเราในอาเซียนต่างมีสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์นกันทั้งหมด
อินโดนีเซีย มี GOJEK, tokopedia, traveloka, Bukalapak
เวียดนาม มี VNG
ฟิลิปปินส์ มี Revolution Precrafted
มาเลเซีย มี Grab
สิงคโปร์ มี SEA ที่สามารถระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ประเทศไทยยังไม่มียูนิคอร์น..
รู้ไหมว่าหนึ่งในเหตุผลหลักของเรื่องนี้ก็คือ
“คนรุ่นใหม่เก่งๆ” ในประเทศไทย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี สนใจทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่มากกว่าที่จะผันตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการในรูปแบบสตาร์ทอัพ
สาเหตุก็เป็นเพราะพวกเขามองเห็นโอกาสในอนาคตที่จะประสบความสำเร็จในประเทศไทยในฐานะสตาร์ทอัพ น้อยกว่าการทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่เดิม หรือบริษัทใหญ่ที่เป็นยูนิคอร์นจากต่างประเทศ
ลองคิดตามว่า เด็กรุ่นใหม่เรียนจบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง
ถ้าคนที่มาเสนองานมีบริษัท Google, Lazada, Grab, Agoda, Garena, KBank กับการก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพด้วยตนเอง คนไทยเหล่านั้นมักจะเลือกที่จะเริ่มทำงานกับบริษัทใหญ่มากกว่า
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ยังมีเรื่องเงินทุน เรื่องกฎหมาย และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือไม่รู้วิธีการที่จะพัฒนาธุรกิจให้เข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมากได้
จากปัญหาทั้งหมดนี้
แล้วสตาร์ทอัพไทยจะสามารถเป็นยูนิคอร์นได้อย่างไรบ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
โดยทั่วไป การระดมทุนของสตาร์ทอัพจะถูกแบ่งตามการประเมินมูลค่าของบริษัท (Valuation) ออกเป็น
ระยะเริ่มต้นเรียกว่า Seed
หลังจากนั้นก็จะไล่ระดับตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ เช่น Series A Series B Series C
แล้วเรารู้ไหมว่า.. จำนวนสตาร์ทอัพไทยเทียบกับเพื่อนบ้าน เป็นอย่างไร?
สตาร์ทอัพที่ระดมทุนในระดับ Seed
อินโดนีเซีย 428 บริษัท
เวียดนาม 197 บริษัท
ไทย 170 บริษัท
สตาร์ทอัพที่ระดมทุนในระดับ Series A
อินโดนีเซีย 101 บริษัท
เวียดนาม 52 บริษัท
ไทย 36 บริษัท
สตาร์ทอัพที่ระดมทุนในระดับ Series B
อินโดนีเซีย 25 บริษัท
เวียดนาม 12 บริษัท
ไทย 9 บริษัท
สตาร์ทอัพที่ระดมทุนในระดับ Series C
อินโดนีเซีย 13 บริษัท
เวียดนาม 8 บริษัท
ไทย 3 บริษัท
จากตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่า จำนวนสตาร์ทอัพประเทศไทยน้อยกว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจนในทุกระดับการระดมทุน
และเมื่อดูถึงมูลค่าที่ระดมทุนได้
สตาร์ทอัพอินโดนีเซียและเวียดนาม สามารถระดมทุนได้มากกว่าสตาร์ทอัพไทย 22 และ 2 เท่า ตามลำดับ..
แน่นอนว่าปัญหาสำคัญของการก้าวเข้าสู่สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นก็คือ “ฐานจำนวนผู้ใช้งาน”
หากมองจากมุมนี้ ก็อาจเข้าใจได้ว่าประเทศไทยเสียเปรียบด้านจำนวนประชากรหากเทียบกับเวียดนาม และ อินโดนีเซีย
แล้วจะมีเครื่องมืออะไรบ้างที่เป็นตัวช่วยให้สตาร์ทอัพเข้าถึงคนเป็นจำนวนมากได้?
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน
โดยคนไทย 50 ล้านคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
ถ้าถามว่าคนไทยคุ้นเคยกับแอปพลิเคชันอะไรมากสุด
คำตอบคงหนีไม่พ้น แอปพลิเคชัน LINE
รู้ไหมว่า..
ปัจจุบัน คนไทยใช้งานแอปพลิเคชัน LINE กว่า 44 ล้านคน
คิดเป็นเกือบ 90% ของคนไทยที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ตโฟน
ในขณะที่ คนไทยเล่นอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ตโฟนเฉลี่ยวันละ 216 นาที
ซึ่งกว่า 63 นาทีเป็นการใช้งานบนแอปพลิเคชัน LINE
นอกจากนี้ วิวัฒนาการของ LINE ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ทำให้ปัจจุบัน LINE ไม่ได้เป็นเพียงแอปแช็ต
แต่บริษัทสามารถขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
จนผู้ใช้งานสามารถทำทุกอย่างบน LINE ได้
ตั้งแต่การติดต่อสื่อสาร สั่งอาหาร ช้อปปิง รวมไปถึงธุรกรรมทางการเงิน
เรียกได้ว่าคนไทยทั้งประเทศกำลังใช้ LINE ในชีวิตประจำวันของพวกเขา
ซึ่งการที่สตาร์ทอัพจะถึงระดับยูนิคอร์นได้ก็คือต้องขยายขนาดธุรกิจ
การที่จะขยายธุรกิจได้ก็ต้องมีผู้ใช้งานหรือลูกค้ามากขึ้น
และ LINE เป็นแพลตฟอร์มเดียวในประเทศไทย ที่จะทำให้เข้าถึงคนจำนวนมากได้
คำถามต่อไปก็คือ
สตาร์ทอัพเหล่านี้จะใช้แพลตฟอร์ม LINE อย่างไรให้ได้เต็มศักยภาพที่สุด?
“โครงการ LINE ScaleUp” จึงถูกก่อตั้งขึ้นโดย LINE โดยมีจุดประสงค์ช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง ผ่านการใช้เทคโนโลยีภายใต้แพลตฟอร์มของ LINE ให้ได้ดีที่สุด
ซึ่งในปีนี้ มี 6 สตาร์ทอัพไทยที่เข้ารอบ LINE ScaleUp 2019 จากผู้สมัคร 100 บริษัท คือ
1.Choco CRM แพลตฟอร์มระบบจัดการหน้าร้าน และพัฒนาความสัมพันธ์ลูกค้า
2.ClaimDi แพลตฟอร์มจัดหาผู้ช่วยสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น รถชน หรือเรียกตำรวจ
3.Finnomena แพลตฟอร์มผู้ให้บริการและคำปรึกษากับนักลงทุน
4.GoWabi แพลตฟอร์มจองบริการสปาและบริการเสริมความงาม
5.Seekster แพลตฟอร์มจัดหาผู้ให้บริการด้านความสะอาด
6.Tellscore แพลตฟอร์มจัดการ micro-influencer
ธุรกิจสตาร์ทอัพไทยเหล่านี้มีรายได้เฉลี่ยบริษัทละ 45 ล้านบาท มีพนักงานในบริษัทไม่ต่ำกว่า 80 คน และได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 360 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นสตาร์ทอัพระดับ Series A ที่เตรียมตัวจะขยาย และยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
ดังนั้น การพยายามเข้าถึงลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพที่อยู่ใน stage นี้ แต่ละบริษัทจึงเล็งเห็นความสำคัญในการปรับธุรกิจให้เข้ากับ LINE เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้แม่นยำ และเข้าใจกลุ่มลูกค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ สตาร์ทอัพในโครงการ LINE ScaleUp ยังได้รับโอกาสในการพัฒนารากฐานสำคัญ 3 ส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเติบโต แบ่งออกเป็น
1.ด้านพื้นฐานทั้งการสอนแบบกลุ่ม และตัวต่อตัว เช่น การให้ความรู้พื้นฐานด้านธุรกิจ เทคโนโลยี การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ การบริหารบุคลากร รวมถึงกฎหมายที่จำเป็น
2.ด้านการลงทุน เช่น การให้ความรู้ และเข้าถึงโอกาสได้รับการลงทุนจาก LINE Venture และผู้ลงทุนจากต่างชาติ
3.ด้านการเรียนรู้ความสำเร็จจากสตาร์ทอัพระดับโลก เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อคิดเห็นกับบริษัทสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวจริงผ่านการไปดูงานที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งรวมถึง NAVER บริษัทแม่ของ LINE
ซึ่งหลังการพัฒนารากฐาน จะทำให้สตาร์ทอัพทุกรายมีความพร้อมมากขึ้น และในก้าวต่อไป สตาร์ทอัพยังมีโอกาสได้เป็นพันธมิตรกับบริการต่างๆ ของ LINE ได้ เช่น
1.ความร่วมมือด้านธุรกิจ โดย LINE เปิดช่องทางมินิแอป (Mini App) บนแอปพลิเคชัน LINE โดย ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการของสตาร์ทอัพได้ทันทีผ่าน LINE ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้าใช้บริการของ Seekster และ Finnomena ผ่านมินิแอปได้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว
2.ความร่วมมือด้านพันธมิตรอย่างเป็นทางการ (Strategic Partnership) โดยตัวอย่างเช่น การเปิดให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบริการทำความสะอาดของ Seekster ผ่านแพลตฟอร์ม LINE MAN ในเร็วๆ นี้ หรือ การเข้าถึงช่องทางคอนเทนต์ของ Finnomena และ Claimdi ผ่าน LINE TODAY และ LINE TV
3.ความร่วมมือแบบบูรณาการเชิงลึก (Deep Integration) ให้กับทั้ง 6 ทีม โดยเฉพาะบริษัท Choco CRM, Tellscore และ GOWABI ที่สามารถต่อยอดการพัฒนาบริการเชิงลึกผ่าน LINE API เพื่อให้บริษัทเหล่านี้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้เป็นวงกว้างผ่านแพลตฟอร์ม LINE เช่น Tellscore สามารถทำการสมัครเป็น Influencer ได้ผ่าน LINE หรือ Choco CRM ที่ช่วยสร้างบัตรสะสมแต้มให้กับบริษัท และร้านค้าบน LINE
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า LINE ScaleUp เป็นหนึ่งในโครงการที่จะช่วยเร่งให้ธุรกิจสตาร์ทอัพประเทศไทยก้าวเข้าสู่ระดับยูนิคอร์นได้ในอนาคตโดยการใช้เทคโนโลยี และจำนวนผู้ใช้ของ LINE ซึ่งก็น่าติดตามว่าจะมีทีมไหนที่จะเข้าสู่จุดนั้น
และ LINE ScaleUp จะไม่ได้มีแค่ปีนี้เพียงปีเดียว
ซึ่ง LINE ได้วางแผนระยะยาว และเอาจริงกับวงการสตาร์ทอัพในประเทศไทย
โดยจะเปิดรับสมัคร LINE ScaleUp 2020 รุ่นใหม่ในช่วงต้นปีหน้าที่จะถึงนี้
หากสตาร์ทอัพไหนมี passion ในการทำธุรกิจ และ เชื่อว่าสักวันจะประสบความสำเร็จกลายเป็นยูนิคอร์นสัญชาติไทย ลองเตรียมตัวเข้าร่วมโครงการนี้ในปีหน้า ซึ่ง LINE ScaleUp อาจจะเป็นหนึ่งในคำตอบที่ทำให้เราก้าวสู่ยูนิคอร์นได้สำเร็จ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย..
ติดต่อข่าวสารโครงการ LINE ScaleUp ได้ที่ https://scaleup.line.me/
ยูนิคอร์น บริษัท 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳貼文
5 ปีที่แล้ว มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เห็นอะไรใน Instagram / โดย เพจลงทุนแมน
มีใครรู้มั้ยว่ารูปแรกใน Instagram คือรูปอะไร?
หลายคนรู้จัก Instagram
แต่มีน้อยคนที่รู้ว่า Instagram เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
อีกทั้ง Instagram ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก
วันนี้ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แรกเริ่มเดิมที Instagram เป็นเพียงฟีเจอร์เล็กๆในโปรเจ็คที่ชื่อว่า “Burbn” ในปี ค.ศ. 2010 โดยถูกพัฒนาขึ้นโดย Kevin Systrom และ Mike Kriege ในเมือง San Francisco
Burbn อ่านว่า เบอร์เบิน (มีที่มาจากวิสกี้) เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้ผู้ใช้งานสามารถวางแผนเช็คอินล่วงหน้า หรือเช็คอินขณะที่อยู่ในสถานที่นั้นๆ (เหมือน Foursquare) รวมถึงโพสต์รูปเพื่อแชร์กันระหว่างเพื่อนเพื่อรับคะแนนสะสม
อย่างไรก็ตาม Burbn นั้นไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก เนื่องจากมีความซับซ้อนและยุ่งยากในการใช้งาน
แต่ผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 2 คน นั้นไม่ยอมแพ้ง่ายๆ..
Kevin และ Mike เห็นพฤติกรรมผู้ใช้งานว่านิยมใช้ฟังก์ชั่นโพสต์รูปมากกว่าฟังก์ชั่นอื่นๆ จึงเปลี่ยนจุดมุ่งหมายใหม่ โดยมีฟังก์ชั่นหลัก คือ ให้ผู้ใช้งานแชร์รูปภาพของตนเองระหว่างหมู่เพื่อน
โดยเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Instagram” ซึ่งเป็นการผสมระหว่างคำว่า “Instant” และ “Telegram”
Instagram เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนตุลาคม ปี 2010 โดยเปิดให้ดาวน์โหลดเฉพาะผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบ iOS เท่านั้น และต่อมาในเดือนเมษายน ปี 2012 จึงได้ออกเวอร์ชั่นสำหรับ Android
และ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2012 นี้เอง
มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง เฟซบุ๊ค ขณะนั้นกำลังจะนำบริษัท IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์แต่ก็ได้ประกาศซื้อกิจการ Instagram ด้วยมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท
เรียกได้ว่า Instagram ขายให้ เฟซบุ๊ค ในราคายูนิคอร์นพอดี (ยูนิคอร์น คือ บริษัท สตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
ที่น่าตกใจคือ ขณะนั้น Instagram พึ่งเปิดตัวมาได้เพียง 2 ปี มีพนักงานทั้งบริษัทรวมกันแค่ 13 คน และที่สำคัญ ยังไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียว..
ดีลนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของ CEO หนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก
หลายฝ่ายเริ่มไม่เชื่อใจว่า มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก จะสามารถดูแล เฟซบุ๊ค ที่กำลังจะเข้าตลาดได้ดีหรือไม่
แต่แล้วปัจจุบันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่านี่เป็นดีลที่คุ้มค่าที่สุดดีลหนึ่งในวงการธุรกิจ
Instagram ในขณะนั้นที่ถูกซื้อในราคา 1 พันล้านเหรียญ ถูกประเมินว่าอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านเหรียญในปัจจุบัน (โตขึ้น 50 เท่าใน 5 ปี) และเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของ เฟซบุ๊ค เลยทีเดียว
5 ปีที่แล้ว มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เห็นอะไรใน Instagram?
มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก มองว่า Instagram จะเป็นแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพสูงมาในอนาคต และ มาเติมเต็มกับสิ่งที่เขามีอยู่แล้วในเฟซบุ๊ค เรียกได้ว่าถ้าอยากโพสซีเรียสหน่อยมีตัวหนังสือก็มาเล่นในเฟซบุ๊ค ถ้าอยากโพสแบบสบายๆ รูปอย่างเดียวก็มาเล่นใน Instagram
และในที่สุด เฟซบุ๊คก็เชื่อมตัวเองกับ Instagram ได้ด้วย โดยที่โพสใน Instagram ทีเดียวขึ้นมาโผล่ในเฟซบุ๊คเลย
ปัจจุบัน Kevin ยังคงเป็น CEO และ Mike ก็ยังคงเป็น CTO (Chief Technology Officer) ให้แก่ Instagram โดยทั้ง 2 คนใช้บัญชี instagram ว่า @kevin และ @mikeyk ตามลำดับ
ถึงตรงนี้หลายคนอาจอยากรู้ว่ารูปแรกที่ถูกโพสต์ลง Instagram คือรูปอะไร
คำตอบก็คือ “รูปสุนัขที่ถ่ายคู่กับเท้าแฟนสาวของ Kevin” นั่นเอง
รูปนี้ถูกโพสต์โดยใช้ฟิลเตอร์ X-Pro 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในฟิลเตอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล (ปัจจุบันยังมีฟิลเตอร์นี้อยู่ สามารถไปลองใช้กันได้)
Instagram ถือว่าเป็น platform ที่มีการเติบโตเร็วที่สุด platform หนึ่งในโลก
เดือนธันวาคม ปี 2010 มีผู้ใช้งาน 1 ล้านบัญชี
เดือนกันยายน ปี 2011 มีผู้ใช้งาน 10 ล้านบัญชี
เดือนเมษายน ปี 2012 มีผู้ใช้งาน 30 ล้านบัญชี
เดือนกันยายน ปี 2013 มีผู้ใช้งาน 150 ล้านบัญชี
เดือนธันวาคม ปี 2014 มีผู้ใช้งาน 300 ล้านบัญชี
เดือนธันวาคม ปี 2015 มีผู้ใช้งาน 400 ล้านบัญชี
เดือนธันวาคม ปี 2016 มีผู้ใช้งาน 600 ล้านบัญชี
เดือนเมษายน ปี 2017 มีผู้ใช้งาน 700 ล้านบัญชี
และปัจจุบัน มีผู้ใช้งานมากกว่า 800 ล้านบัญชี โดยมี active user (ผู้ที่ใช้งานเป็นประจำ) สูงถึง 500 ล้านบัญชี
อะไรทำให้ Instagram เป็นที่นิยมขนาดนี้ ?
เราคงไม่ต้องอธิบายว่า Instagram สามารถทำอะไรได้บ้าง เพราะทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้ว
แต่หากให้สรุปสั้นๆ ก็คงเป็นเพราะ Instagram นำเสนอ “ความง่าย” ในการใช้งาน
อีกทั้งยังเข้าใจ “พฤติกรรม” ของมนุษย์ที่ชื่นชอบในการแชร์เรื่องราวต่างๆในชีวิต โดยเฉพาะการแชร์รูปภาพและวิดีโอ
อีกเหตุผลที่เราอาจจะพึ่งรู้คือ
Instagram เป็น platform ที่วัยรุ่นนิยมใช้กันมาก บางครั้งใช้เป็นที่หลีกเลี่ยงจาก “ครอบครัว” หรือ “ญาติ” ที่เริ่มใช้งาน เฟซบุ๊ค กันมากขึ้นนั่นเอง เพราะบางครั้งวัยรุ่นก็ไม่อยากให้พ่อแม่ หรือญาติๆ รับรู้เรื่องราวในชีวิตประจำวันเท่าไหร่นัก
ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ Instagram ได้รับความนิยม และเป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นนั่นเอง
แต่เหรียญก็ย่อมมีสองด้านเสมอ..
ปัจจุบัน Instagram เป็น platform สื่อออนไลน์ที่ก่อความเครียดให้แก่ผู้ใช้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเกิดจากการที่ผู้ที่เราติดตามโพสต์รูปไปเที่ยว หรือใช้ชีวิตหรูหรา
ทำให้เกิดความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี จึงต้องพยายามทำตัวเองให้ดูมีชีวิตดีเหมือนคนอื่น
ผู้ที่รู้จักใช้ รู้จักคิด ก็คงนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาชีวิตตนเอง
แต่บางคนที่ยังติดกับดักภาพลวงตานี่สิที่น่าเป็นห่วง ต้องคอยสร้างภาพให้ตนเองดูดีในสายตาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ในชีวิตจริงๆเขาจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม
คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า
วัยรุ่นในสมัยนี้ ให้ความสำคัญกับการมีตัวตนในโลกโซเชียล มากกว่า ตัวตนในโลกความจริงไปแล้ว..

ยูนิคอร์น บริษัท 在 Unicorn Business Official | Din Daeng - Facebook 的推薦與評價
เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ณ ณ อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี บริษัทยูนิคอร์นได้จัดงาน Happy Life Course เพื่อเรียนรู้การปลดปล่อยศักยภาพในตัวเอง ... ... <看更多>