หลักกฎหมายว่าด้วยบุคคล
บุคคล หมายถึงสิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมายซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือบุคคลธรรมดากับนิติบุคคล
1.บุคคลธรรมดา
บุคคลธรรมดา คือ มนุษย์ทั้งปวงไม่จำกัดเพศ อายุ ฐานะ สติปัญญาและสภาพร่างกาย ซึ่งถือว่าล้วนแล้วแต่สามารถมีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายด้วยทั้งสิ้น สิ่งที่เราต้องศึกษาเกี่ยวกับบุคคลธรรมดา ในการศึกษาเกี่ยวกับบุคคลธรรมดาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ตั้งแต่มาตรา 15 ถึงมาตรา 67 มีดังนี้
1.1 สภาพบุคคล
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดสภาพบุคคลธรรมดา รวมทั้งการกำหนดสิทธิทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาไว้ดังนี้
1.1.1 การเริ่มต้นสภาพบุคคล
บุคคลคนธรรมดามีสภาพบุคคลเริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
เมื่อพิจารณาถึงสภาพบุคคลนั้นย่อมเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคลอดและมีการอยู่รอดเป็นทารกนั่นเอง หรืออาจแยกเป็นองค์ประกอบได้ว่า การเริ่มต้นสภาพบุคคล นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1.มีการคลอด ซึ่งการคลอดนั้น คือ การที่ทารกได้พ้นออกมาจากช่องคลอด โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดเหลือติดอยู่ ส่วนจะมีการตัดสายสะดือ (รก) หรือไม่ไม่เป็นข้อสำคัญ
ข้อสังเกต ในกรณีที่มีการผ่าท้องเอาทารกออกมาตามหลักวิชาวิชาแพทย์ ก็ถือว่าเป็นการคลอดตามความหมายนี้เช่นกัน
2.มีการอยู่รอดเป็นทารก คือ ต้องปรากฏว่าทารกที่คลอดมานั้นมีการหายใจด้วย จึงจะถือได้ว่าทารกนั้นมีสภาพเป็นบุคคลแล้ว ซึ่งการหายใจของทารกนั้นอาจจะเป็นการหายใจด้วยตนเองหรือการช่วยเหลือของแพทย์ก็ได้ และไม่ว่าการหายใจนั้นจะมีระยะเวลานานเพียงใดก็ตาม ก็จัดได้ว่ามีการอยู่รอดเป็นทารกและมีสภาพบุคคลแล้ว
แต่ถ้าเมื่อทารกที่คลอดออกมาไม่มีการหายใจ คือ ได้ตายไปก่อนแล้ว ซึ่งอาจจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือตายในขณะคลอดก็ตาม ดังนั้นทารกนั้นย่อมไม่มีสภาพบุคคลและไม่มีสิทธิๆใด ตามกฎหมายทั้งสิ้น
1.1.2 สิทธิของทารกในครรภ์มารดา
สิทธิของทารกในครรภ์มารดา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 วรรค 2 ว่า “ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดทารก”
ตามปกติเมื่อสภาพบุคคลแล้ว บุคคลนั้นอาจถือสิทธิได้ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย แต่อย่างไรในมาตรา 15 วรรค 2 ยังได้บัญญัติรับรองสิทธินั้นเป็นสิทธิเกี่ยวกับอะไรบ้าง จึงเห็นได้ว่าสิทธิที่ทารกในครรภ์มารดาจะได้รับเมื่อเกิดมาอยู่รอด อาจเป็นสิทธิเกี่ยวกับอะไรก็ได้ ที่เป็นประโยชน์แก่ทารก กฎหมายก็ยอมให้เด็กได้รับสิทธินั้น เช่น
1.สิทธิในการรับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 ได้กำหนดไว้ว่า
“บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถมีสิทธิได้ตาม มาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าเด็กที่เกิดมารอดอยู่ภายใน 310 วัน นับแต่วันเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้น เป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”
เมื่อพิจารณาถึงทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาในขณะที่เจ้ามรดก คือ บิดาของทารกถึงแก่ความตาย ถ้าทารกได้เกิดมามารอดอยู่ภายใน 310 วัน นับแต่เจ้ามรดก คือ บิดาตาย ให้ทารกนั้นมีสิทธิที่จะเป็นทายาทหรือได้รับมรดกได้”
ตัวอย่าง นายสมศักดิ์ มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ นางสมศรี มีบุตร 1 คน คือ เด็กชายสมปอง และนางสมศรีได้ตั้งท้องบุตร อีก 1 คน ได้ 2 เดือน ต่อมานายสมศักดิ์ได้ถึงแก่ความตาย หลังจากนายสมศักดิ์ตายได้ 7 เดือน นางสมศรีได้คลอดบุตรอีก 1 คนชื่อ เด็กชายสมชาย ดังนั้นมรดกของนายสมศักดิ์ตกแก่ใครบ้าง (ในกรณีนี้นายสมศักดิ์ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้)
เมื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคแรก ได้กำหนดว่า “เมื่อบุคคลใดตายมรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท” มาตรา 1629 ได้กำหนดทายาทโดยธรรมมี 6 ลำดับ แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังได้แก่ (1) ผู้สืบสันดาน (2) บิดามารดา (3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน (4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน (5) ปู่ ย่า ตา ยาย (6) ลุง ป้า น้า อา รวมทั้งคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม และมาตรา 1635 (1) ได้กำหนดไว้ว่า ได้กำหนดให้คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร แล้วจะเห็นว่ามรดกของนายสมศักดิ์ย่อมตกแก่นางสมศรีและเด็กชายสมปองคนละครึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมาตรา 1604 ได้กำหนดถึงสิทธิของทารกในครรภ์มารดา ซึ่งเกิดภายใน 310 วัน แล้วรอดอยู่นับแต่เจ้ามรดกตาย จึงทำให้เด็กชายสมชายย่อมมีสิทธิในมรดกของนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาด้วย
ดังนั้นกองมรดกนายสมศักดิ์จึงต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วนๆ ละเท่าๆกันและตกเป็นของนางสมศรี เด็กชายสมปองและเด็กชายสมชาย คนละส่วน ตามมาตรา 1633 ที่ได้กำหนดว่า ทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกัน ในลำดับหนึ่งๆชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน
ข้อสังเกต ตามตัวอย่างข้างต้นถ้าปรากฏว่าเด็กชายสมชายได้คลอดออกมาเพียง 1 ชั่วโมงก็ตายไป ดังนี้ถือว่าเด็กชายสมชายมีสภาพบุคคลแล้ว ย่อมมีสิทธิรับมรดก เมื่อเด็กชายสมปองตายไป มรดกของเด็กชายสมชายจึงตกกับนางสมศรีผู้เป็นมารดาแต่เพียงผู้เดียว เด็กชายสมปองซึ่งเป็นพี่ชายเด็กชายสมชายไม่มีสิทธิได้รับมรดกได้รับมรดกเด็กชายสมชาย เพราะเป็นทายาทลำดับที่ (3) ย่อมถูกตัดตามมาตรา 1630 ที่กำหนดไว้ว่า ตราบใดที่มีทายาทยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีในลำดับหนึ่งๆ ทายาทที่อยู่ในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย
2.สิทธิในครอบครัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 ได้กำหนดว่า “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชาย หรือภายใน 310 วัน นับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี”
เมื่อพิจารณามาตราดังกล่าวข้างต้น เป็นการกำหนดเกี่ยวกับการหาตัวบิดาของเด็กเมื่อมีเหตุการณ์ว่าหญิงคลอดบุตรมา แต่ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นบิดาของเด็ก นับแต่ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นบิดาของเด็ก กฎหมายจึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ถ้าเด็กเกิดมาในขณะเป็นภริยาชายอยู่ ชายนั้นย่อมเป็นบิดาของเด็ก หรือถ้าเด็กเกิดมาภายใน 310 นับแต่วันขาดการสมรส ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าชายซึ่งเคยเป็นสามีของมารดาเด็กนั้น
3.สิทธิในการเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อขาดไร้อุปการะนี้ อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อปรากฏว่ามีบุคคลใดมาทำให้บิดาหรือมารดาของทารกนั้นถึงแก่ความตาย และทำให้ทารกนั้นต้องขาดไร้ซึ่งอุปการะ ทารกก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้บุคคลนั้นผู้ละเมิดนั้นรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว
ตัวอย่าง เอกมีภริยาชอบด้วยกฎหมาย คือ โท มีบุตร คน 1 คน คือ ตรี เมื่อขณะที่โทท้องได้ 6 เดือน ทวิได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ ชนเอกถึงแก่ความตาย หลังจากนั้น 3 โท คลอดบุตรชื่อ จัตวา การฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากการที่ทวิได้ทำให้เอกตายลงนั้น ใครเรียกได้บ้าง กรณีนี้จะเห็นว่าคนที่ฟ้องเรียกร้องได้ คือ โท ตรี และจัตวา เพราะถือว่าการที่เอกตายนั้นทำให้ทั้งสามคนต้องขาดคนอุปการะเลี้ยงดู
ในประเด็นตามตัวอย่างข้างต้นถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่า เอกมีภริยาน้อย 1 คน ชื่อ น้อยและมีบุตร อีก 1 คน ชื่อ อุ้มบุญ โดยเอกได้รับรองว่าเป็นบุตรตนและอุปการะเลี้ยงดูมาตลอด น้อยและอุ้มบุตรได้รับค่าขาดไร้อุปการะหรือไม่ ในประเด็นนี้น้อยและอุ้มบุญไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากทวิได้ เพราะทั้งสองมิได้เป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแต่อย่างใด
1.1.3 วันเกิด
โดยปกติเมื่อบุคคลได้เกิดออกมาแล้วก็ย่อมได้ทราบว่าบุคคลนั้นได้เกิด วัน เดือน ปีอะไร และทำให้ทราบได้ว่าบุคคลนั้นมีอายุเท่าใด เพราะการทราบอายุของบุคคลนั้นมีความสำคัญมาก เพราะอาจเป็นกรรีเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลในทางกฎหมาย เช่น สิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลในทางกฎหมายแพ่ง บุคคลมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ ย่อมพ้นผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะ ผู้เยาว์อายุ 15 ปี บริบูรณ์อาจทำพินัยกรรมได้ บุคคลมีอายุไม่ตำกว่า 25 ปีจะรับบุตรบุญธรรมก็ได้ แต่ผู้นั้นต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี เป็นต้น
ข้อสังเกต มีบางกรณีที่เป็นไปได้ว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วอาจจะไม่ทราบว่าบุคคลนั้นได้เกิด วัน เดือน ปี อะไร ดังนั้นเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว กฎหมายแพ่งได้กำหนดไว้ดังนี้
1.การนับอายุบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิดวันแรก โดยไม่คำนึงถึงว่าบุคคลนั้นนั้นจะเกิดในเวลาใด เช่น นายสิทธิกร เกิดวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2518 การนับอายุของนายสิทธิกรให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2518เป็นวันแรก มิใช่นับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2518 เป็นวันแรก เป็นต้น
2.ในกรณีที่รู้ว่าบุคคลนั้นเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิด ให้ถือว่าบุคคลนั้นเกิดวันที่ 1 ของเดือนนั้น เช่น นายสิทธิกร เกิดเดือนตุลาคม พ.ศ.2518 แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันที่เท่าใด ให้ถือว่านายสิทธิกร เกิดวันที่ 1 ตุลามคม พ.ศ. 2518 เป็นต้น
3.ในกรณีที่ไม่รู้ว่าบุคคลนั้นเกิดวันและเดือนใดให้ถือว่าบุคคลนั้นเกิดในวันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด เช่น ไม่ทราบว่านายสิทธิกรเกิดวันที่และเดือนอะไร ทราบแต่ว่าเกิดในปี พ.ศ. 2518 ดังนี้ให้ถือว่านายสิทธิกร เกิดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2518 เป็นต้น
1.2.ความสามารถของบุคคล
ความสามารถของบุคคล หมายความถึง ความสามารถที่บุคคลจะใช้สิทธิตามกฎหมายที่มีกฎหมายรับรองไว้ว่าผู้นั้นจะใช้สิทธิได้ตามลำพังตนเองหรือถูกจำกัดในการใช้สิทธิเพราะเป็นผู้หย่อนความสามารถ ผู้หย่อนความสามารถ ได้แก่ ผู้ที่ไม่อาจใช้สิทธิได้ตามปกติ เช่นบุคคลทั่วไปมี 3 ประเภท ได้แก่ ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถ
1.2.1 ผู้เยาว์
ผู้เยาว์ได้แก่ ผู้มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะแต่ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรสโดยการจดทะเบียน เมื่อชายและหญิงมีอายุครบ 17 ปี โดยได้รับการยินยอมจากบิดา มารดาหรือผู้ปกครอง หรือในกรณีที่ศาลเห็นสมควรอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนอายุ 17 ปี ก็จะหลุดพ้นการเป็นผู้หย่อนความสามารถ
1. ความสามารถของผู้เยาว์ ในทางกฎหมายผู้เยาว์จะกระทำการใดได้ต้องมีผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ดูแลจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1) ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้เยาว์ต้องมีผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งได้แก่ บิดา มารดา ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง เป็นผู้มีอำนาจ หน้าที่ในการทำนิติกรรมต่างๆ แทนผู้เยาว์หรือให้ความยินยอมในการทำนิติกรรม เว้นแต่ในบางกรณีอำนาจปกครองอาจจะอยู่กับบิดาหรือมารดาแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ได้ ถ้าเป็นกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
(1)มารดาหรือบิดาตาย
(2)ไม่แน่ว่ามารดาหรือบิดามีชีวิตอยู่หรือตาย
(3)มารดาหรือบิดาถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนคนไร้ความสามารถ
(4)มารดาหรือบิดาต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะจิตฟั่นเฟือน
(5)ศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา
(6)บิดาและมารดาตกลงกันตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ตกลงกันได้
(7)อำนาจปกครองอยู่กับมารดา ในกรณีที่บุตรเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายและยังมิได้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดา
(8)เมื่อบุคคลใดมีบุตรติดมาได้สมรสกับบุคคลอื่น อำนาจปกครองที่มีต่อบุตรผู้เยาว์อยู่กับผู้ที่บุตรนั้นติดมา
2) ผู้ปกครอง คือ ผู้อื่นที่มิใช่บิดามารดาของผู้เยาว์ แต่เป็นผู้ดูแลหรือผู้ปกครองผู้เยาว์จะมีผู้ปกครองก็ต่อเมื่อไม่มีบิดามารดา หรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง ผู้ปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ เช่นเดียวกับบิดามารดา
ข้อสังเกต บุคคลใดจะเข้ามาเป็นผู้ปกครองของผู้เยาว์ได้นั้นจะต้องเข้ามาโดยกรณีใดกรณีหนึ่งได้แก่
1.เข้ามาโดยศาลตั้งขึ้น เมื่อญาติของผู้เยาว์หรือัยการร้องขอ เมื่อเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
1)เมื่อผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดา คือ ไม่ปรากฏตัวบิดามารดาว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั่นเอง
2)ผู้เยาว์มีบิดามารดา แต่ได้ตายไปแล้วทั้งสอง
3)ผู้เยาว์มีบิดามารดา ซึ่งยังมีชีวิตอยู่แต่บิดามารดานั้นถูกศาลสั่งถอนอำนาจปกครองเสียแล้ว
2.เข้ามาโดยพินัยกรรมของบิดาหรือมารดาทีหลังระบุไว้ หมายความว่า เป็นกรณีที่บิดาหรือมารดาของผู้เยาว์ซึ่งได้ถึงแก่ความตายทีหลังนั้นได้ทำพินัยกรรไว้ และในพินัยกรรมก็ได้ระบุตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้ปกครองของผู้เยาว์ไว้แล้วว่าเป็นใคร ซึ่งมีผลทำให้บุคคลนั้นเข้ามาเป็นผู้ปกครองของผู้เยาว์ต่อไป แต่ถ้าบิดาหรือมารดาที่ตายทีหลังมิได้ทำพินัยกรรมไว้หรือทำพินัยกรรมไว้แต่ในพินัยกรรมไม่ได้ระบุให้ใครเป็นผู้ปกครอง ดังนี้บุคคลใดจะเข้ามาเป็นผู้ปกครองได้ก็ต้องอาศัยคำสั่งของศาลเท่านั้น
2. การทำนิติกรรมนิติกรรมของผู้เยาว์ แยกออกได้ 2 หลัก คือ หลักทั่วไปในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ กับข้อยกเว้นจากลักทั่วไปในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ ดังนี้
1) หลักทั่วไปในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ การทำนิติกรรมของผู้เยาว์ ผู้เยาว์ทำนิติกรรมโดยลำพังไม่ได้เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่ผู้เยาว์ทำได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน เช่น การทำพินัยกรรมเมื่ออายุครบ 15 ปี (ถ้าทำอายุต่ำกว่า15 ปีนับเป็นโมฆะ) การทำนิติกรรมอันสมควรแก่ฐานานุรูปและจำเป็นในการเลี้ยงชีพเป็นต้น
นิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำเองไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นโมฆียะ บิดามารดาผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจบอกล้างได้ ทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะไม่มีผลในกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการบอกล้างนิติกรรมนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้ทรัพย์มาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต
ข้อสังเกต ผลของการทำนิติกรรมของผู้เยาว์โดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น คำว่า โมฆียะ นั้นต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับ โมฆะ ซึ่งมีความแตกต่างกันในทางกฎหมาย
โมฆะกรรม คือ นิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายและไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ คู่กรณียังคงอยู่ในบานะเดิมเสมือนว่ามิได้เข้าทำนิติกรรมแต่ประการใด
โมฆียกรรม คือ นิติกรรมที่เมื่อทำขึ้นแล้วมีผลในกฎหมายผูกพันกันได้ แต่เป็นนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์ อาจถูกบอกล้างทำให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ หรืออาจได้รับการให้สัตยาบันทำให้นิติกรรมนั้นเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ แล้วแต่กรณี
2) ข้อยกเว้นจากลักทั่วไปในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ ถ้านิติกรรมนั้นเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งแยกออกได้ 3 ประเภทได้แก่
(1) นิติกรรมกรรมที่เป็นคุณแก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว แยกได้ 2 กรณี นิติกรรมที่ได้มาซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง เช่น การรับทรัพย์สินโดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข เป็นต้น กับนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นหน้าที่อันใดอันหนึ่ง เช่น การที่ผู้เยาว์เป็นหนี้และมีการปลดหนี้ให้ผู้เยาว์เป็นต้น
(2) นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว เป็นนิติกรรมที่ผู้อื่นทำการแทนไม่ได้ ผู้เยาว์ต้องทำเองมีได้ดังต่อไปนี้ คือ การทำพินัยกรรมเมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
การรับรองบุตร การเพิกถอนการสมรสที่สำคัญผิดตัวหรือถูกฉ้อฉลหรือถูกข่มขู่
(2) นิติกรรมที่เป็นเพื่อการดำรงชีพของผู้เยาว์ อยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ คือ ต้องเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพจริงๆอันขาดเสียไม่ได้ เช่น ซื้ออาหารกิน เป็นต้น นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพยังต้องสมแก่ฐานานุรูป (เป็นไปตามฐานะครอบครัวของผู้เยาว์)
1.2.2 คนไร้ความสามารถ
คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริตหรือคนบ้าที่มีผู้ร้องขอให้ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ ทำให้มีผลในกฎหมายคือไม่สามารถทำนิติกรรมใดได้เลย ถ้าทำลงไปเป็นโมฆียะ บุคคลไร้ความสามารถต้องมีผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลหรือทำนิติกรรมแทน เป็นผู้ปกครองดูแลอุปการะเลี้ยงดูบุคคลไร้ความสามารถ ได้แก่ บิดา มารดา สามีภรรยา ผู้สืบสันดาน เป็นต้น ซึ่งการที่จะเป็นคนไร้ความสามารถได้นั้นจะต้องมีคำสั่งของศาลเสมอ แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.หลักเกณฑ์ของการเป็นคนไร้ความสามารถ การเป็นคนไร้ความสามารถนั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1)เป็นคนวิกลจริต หมายถึง เป็นคนที่สมองพิการ คือ จิตไม่ปกติหรือบุคคลที่มีกิริยาอาการไม่ปกติเพราะสติวิปลาส ขาดความรำลึก ขาดความรู้สึกและขาดความรับผิดชอบหรืออาจจะหมายความรวมถึงเจ็บป่วยที่มีกิริยาอาการผิดปกติจนถึงขนาดที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบใดๆทั้งสิ้นด้วย และกรณีที่จะถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ข้อนี้ต้องเป็นไปอย่างมากและต้องเป็นประจำด้วย
2) ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ เพราะหากไม่มีคำสั่งของศาล คนวิกลจริตนั้นก็จะไม่เป็นคนไร้ความสามารถที่จะได้รับความคุ้มครองอย่างสมบูรณ์ และเมื่อศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถ ผลการเป็นคนไร้ความสามารถเริ่มวันที่ศาลสั่ง
2.ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาลสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถ แยกออกได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้ คู่สมรสของคนวิกลจริต ผู้บุพการีของคนวิกลจริต ผู้สืบสันดานของคนวิกลจริต
ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ พนักงานอัยการ
3.ผลของการเป็นคนไร้ความสามารถ บุคคลวิกลจริตซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น ต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล แยกอธิบายได้ดังนี้
1)บุคคลซึ่งเป็นผู้อนุบาล แยกออกได้หลายกรณี คือ
(1) กรณีที่บุตรถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้ใช้อำนาจปกครองย่อมเป็นผู้อนุบาล
(2) ในกรณีที่บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและไม่มีคู่สมรส ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ให้บิดามารดา หรือบิดาหรือมารดา เป็นผู้อนุบาล
(3) ในกรณีที่ศาลสั่งให้สามีหรือภริยาเป็นคนไร้ความสามารถ ภริยาหรือสามีย่อมเป็นผู้อนุบาล แต่เมื่อมีผู้ส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอและถ้ามีเหตุสำคัญ ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้อนุบาลก็ได้
2) อำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล นั้นแยกออกได้เป็นกรณีไป ดังนี้
(1) ถ้าเป็นคนไร้ความสามารถเป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะ แต่ยังไม่มีคู่สมรส มีบิดามารดาเป็นผู้อนุบาล มีอำนาจและหน้าที่ เช่นเดียวกับผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ แต่ถ้าบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วจะใช้สิทธิตามาตรา 1567 (2)และ(3)
(2) ถ้าคนไร้ความสามารถเป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะที่ยังไม่มีคู่สมรสและบุคคลอื่นเป็นผู้อนุบาล มีอำนาจและหน้าที่ เช่นเดียวกับผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ แต่ถ้าผู้อยู่ในความอนุบาลบรรลุนิติภาวะแล้วจะใช้สิทธิตามาตรา 1567 (2)และ(3) ไม่ได้
(3) ถ้าคนไร้ความสามารถมีคู่สมรสและคู่สมรสเป็นผู้อนุบาล ใช้อำนาจปกครองมาบังคับ เว้นแต่สิทธิตามมาตรา 1567 (2)และ(3)
คู่สมรสซึ่งเป็นผู้อนุบาลของคู่สมรสที่ถูกศาลให้เป็นไร้ความสามารถ มีอำนาจจัดการสินส่วนตัวของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งและมีอำนาจจัดการสินสมรสแต่ผู้เดียว ตาการจัดการสินส่วนตัวและสินสมรสตามกรณีที่ระบุไว้ในมาตรา 1476 วรรค 1 จะจัดการได้ต้องได้รับอนุญาตจากศาล
(4) ถ้าคนไร้ความสามารถมีคู่สมรสมีคู่สมรสและคู่สมรสไม่ได้เป็นผู้อนุบาล ศาลตั้งบิดาหรือมารดาหรือบุคคลภายนอกเป็นผู้อนุบาล ให้ผู้อนุบาลจัดการสินสมรสร่วมกับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง
4.การทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถ การกระทำนิติกรรมใดๆของบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงไป การกระทำนั้นเป็นโมฆียะ
ข้อสังเกต
1)กรณีที่คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมนั้นจะขอความยินยอมจากผู้อนุบาลเพื่อทำนิติกรรมนั้นสมบูรณ์ไม่ได้ เพราะผู้อนุบาลมีหน้าที่แต่เฉพาะกิจการแทนคนไร้ความสามารถเท่านั้น
2)ในเรื่องการทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถนั้น กฎหมายมิได้กำหนดข้อยกเว้นที่อนุญาตให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพัง ดังนั้นคนไร้ความสามารถกระทำนิติกรรมใดๆย่อมเป็นโมฆียะทั้งสิ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่านิติกรรมนั้นเป็นนิติกรรมที่เป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่คนไร้ความสมารถฝ่ายเดียวหรือนิติกรรมที่คนไร้ความสามารถต้องทำเองเฉพาะตัวแต่อย่างใด
3)การทำพินัยกรรมของคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ
4)การสมรสของคนไร้ความสามารถ เป็นโมฆะ
5.การสิ้นสุดของการเป็นคนไร้ความสามารถ ย่อมสิ้นสุดลงได้ เมื่อศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้คนไร้ความสามารถนั้น เพราะเหตุที่ทำให้คนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดลงและเมื่อบุคคลนั้นเองหรือบุคคลใดๆที่มีส่วนได้เสีย ร้องขอต่อศาล ซึ่งคำสั่งนั้นของศาลดังกล่าวให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
6.คนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ โดยปกติสามารถนิติกรรมใดๆได้สมบูรณ์ทั้งสิ้น เว้นแต่จะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อเข้าหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ
1) นิติกรรมนั้นได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นวิกลจริตอยู่ กล่าวคือ ในขณะทำนิติกรรมนั้นผู้ทำนิติกรรมจริตวิกลไม่รู้สึกผิดชอบนั่นเอง
2) คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้กระทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต คือ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต
ข้อสังเกต การสมรสในกรณีที่ผู้นั้นวิกลจริตหรือผู้นั้นถูกศาลสั่งให้เป็นคนรึความสามารถย่อมเป็นโมฆะทั้งสองอย่าง
1.2.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ
คนเสมือนไร้ความสามารถ คือ ผู้ที่มีความบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องจัดอยู่ในการในความพิทักษ์
1.หลักเกณฑ์การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ มีดังนี้ คือ
1) ต้องมีเหตุบกพร่อง อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
(1) กายพิการ คือ ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้ขาดไปหรือไม่สมประกอบ ซึ่งอาจจะเกิดแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ ขา แขนชาดหรือเป็นอัมพาตง่อยเปลี้ยเสียขา เป็นต้น
(2) จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ คือ จิตไม่ปกติ เป็นโรคจิตแต่ไม่ถึงกับวิกลจริต คือ มีเวลาที่รู้สึกตัว มีสติรู้สึกผิดชอบธรรมดา แต่บางครั้งก็เลอะเลือนไปบ้าง
(3) ติดสุรายาเมา คือ คนที่เสพสุราหรือมึนเมาต่างๆ เมื่อเสพไปแล้วก็ต้องเสพเป็นนิจ ซึ่งขาดเสียมิได้
(4) ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ คือ คนที่มีนิสัยใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างไม่มีประโยชน์เกินกว่ารายได้ที่ได้รับและเป็นอาจิณคือประจำ
(5)มีเหตุอื่นใดในทำนองเดียวกันนั้น
2) บุคคลนั้นไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว เพราะเหตุบกพร่องนั้น
3)ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ กล่าวคือ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ บุคคลนั้นก็ยังไม่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นอย่างบุคคลธรรมดาทั่วไป และเมื่อศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนรึความสามารถแล้ว การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถย่อมเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลสั่ง ไม่ใช่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2.ผลของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ มีดังต่อไปนี้
1)การจัดให้อยู่ในความพิทักษ์ บุคคลที่จะเป็นผู้พิทักษ์นั้นให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับการแต่งตั้งผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ ส่วนอำนาจหน้าที่ของผู้พิทักษ์ไม่มีอำนาจทำการแทนคนเสมือนไร้ความสามารถต้องให้คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมต่างๆด้วยตนเอง
2) การทำนิติกรรมของคนเสมือนไร้ความสามารถ สามารถทำเองได้ แต่มีบางกิจการบางอย่างนั้นต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) นำทรัพย์สินไปลงทุน
(2) รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงิน หรือทุนอย่างอื่น
(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
(4)รับประกันโดยประการใดๆ อันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับชำระหนี้
(5) เช่าหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี
(6)ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอสมควรแก่ฐานานุรูป เพื่อการกุศล การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
(7) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันหรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
(8) ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
(9) ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือซ่อมแซมอย่างใหญ่
(10) เสนอคดีต่อศาลหรือดำเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ เว้นแต่การร้องขอตามตรา 35หรือการ้องขอถอนผู้พิทักษ์
(11) ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
ถ้ามีกรณีอื่นใดนอกจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งคนเสมือนไร้ความสามารถอาจจัดการไปในทางเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนหรือครอบครัว ในการสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถหรือเมื่อผู้พิทักษ์ร้องขอในภายหลัง ศาลมีคำสั่งให้คนเสมือนไร้ความสามารถนั้นต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนจะทำการนั้นได้
ในกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถไม่สามารถจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ศาลจะสั่งให้ผู้พิทักษ์เป็นผู้มีอำนาจกระทำการนั้นแทนคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ (คำสั่งศาลต้องประกาศในราชกิจานุเบกษา) ในกรณีเช่นนี้ให้นำหลักเกณฑ์เกี่ยวกับผู้อนุบาลมาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าการกระทำดังกล่าวลงโดยฝืนไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ การนั้นเป็นโมฆียะ
ข้อสังเกต ในเรื่องการทำพินัยกรรมและการสมรส ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามไว้
1.3 ภูมิลำเนาของบุคคล
ภูมิลำเนาของบุคคล ภูมิลำเนา ได้แก่ การที่บุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นสำคัญ การมีภูมิลำเนามีประโยชน์ต่อบุคคล เช่นการมีสิทธิหรือการใช้สิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ การเลือกตั้ง สมัครรับเลือกตั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การส่งหมายเรียก การฟ้องคดี เป็นต้น สำหรับบุคคลที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้หย่อนความสารถมีภูมิลำเนา คือ
1.ผู้เยาว์ ได้แก่ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรม
2.คนไร้ความสามารถ ได้แก่ภูมิลำเนาของผู้อนุบาล
3.คนเสมือนไร้ความสามารถมีภูมิลำเนาของตนเองต่างหากจากผู้พิทักษ์ สามีและภรรยา ได้แก่ การที่สามีและภรรยาอยู่กันด้วยกันฉันสามีภรรยาเว้นแต่ สามีหรือภรรยา ได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่าภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน
4.ข้าราชการ ได้แก่ถิ่นที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่
5.ผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว
1.4 การสิ้นสภาพบุคคล
การสิ้นสภาพบุคคล ตามกฎหมายแพ่ง บุคคลสิ้นสภาพบุคคลมีได้ 2 ลักษณะ คือ การตายโดยธรรมชาติกับการตายโดยกฎหมาย คือ สาบสูญ
1.4.1 ตายโดยธรรมชาติ
ตายโดยธรรมชาติ คือ การที่บุคคลตายโดยไม่หายใจ หัวใจหยุดเต้น สมองหยุดทำงาน ซึ่งเมื่อบุคคลใดตายสิทธิและหน้าที่ของบุคคลนั้นย่อมสิ้นสุดลงด้วย และจะตกทอดไปสู่ทายาทผู้รับมรดกตั้งแต่บุคคลนั้นตาย เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ รวมทั้งถ้าบุคคลที่ตายไปมีคู่สมรส ก็ย่อมทำให้การสมรสสิ้นสุดลงด้วย
ข้อสังเกต ในเรื่องของการตาย คือ วันตาย ซึ่งการทราบถึงวันตายของบุคคลนั้นมีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อกฎหมายหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องการรับมรดกของทายาทผู้ตาย เป็นต้น ในบางกรณีอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ถ้ามีบุคคลหลายคนถึงแก่ความตายพร้อมกันในเหตุภยันตรายร่วมกันและไม่ทราบว่าใครตายก่อนหลัง กฎหมายให้ถือว่าตายพร้อมกัน
1.4.2 ตายโดยกฎหมายสั่งให้สาบสูญ
ตายโดยกฎหมายสั่งให้สาบสูญ คือ การที่บุคคลหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร โดยไม่มีใครทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ การสาบสูญนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนด ไว้ 2 ระยะ คือ
1.ระยะเวลาที่ให้สันนิษฐานว่าเป็นเพียงผู้ไม่อยู่ เป็นระยะเวลาที่บุคคลนั้นได้หายไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่ส่งข่าวคราว และไม่มีผู้ใดพบเห็นเลย ดังนี้ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขายังมีชีวิติอยู่ยังไม่ตาย ซึ่งเขาอาจจะกลับมาก็ได้ไม่แน่นอน กฎหมายจึงให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นเพียง ผู้ไม่อยู่ เท่านั้น ดังนั้นทรัพย์สินสินของเขาก็ยังเป็นของเขาอยู่ตามเดิม ยังไม่ตกทอดไปสู่ทายาทและถ้าเขามีคู่สมรส การสมรสก็ยังไม่ขาดจากกัน ผู้ไม่อยู่ นั้นกำหนดระยะเวลา ไว้ 1 ปี
2.ระยะเวลาที่ถือว่าผู้ไม่อยู่ถึงแก่ความตาย หมายถึง การที่ผู้ไม่อยู่นั้นหายไปจากภูมิลำเนาโดยไม่มีใครทราบข่าวคราวเป็นเวลานานกลายเป็นคนสาบสูญ ดังนี้
1)หลักเกณฑ์ที่จะถือว่าสาบสูญบุคคลนั้นได้หายไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่ส่งข่าวคราว และไม่มีผู้ใดพบเห็นเลยเป็นเวลาครบ 5 ปีในกรณีธรรมดา และ 2ปี ในกรณีพิเศษ เช่น เกิดสงคราม เรืออับปาง ตึกถล่ม เป็นต้น จนมีผู้ร้องขอให้ศาลสั่งบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ ซึ่งเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ
2)ระยะเวลาเริ่มต้นของการเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย เมื่อได้หายไปครบ 5 ปี ในกรณีธรรมดา หรือ กรณี 2 ปี ในกรณีพิเศษ แล้วแต่กรณีไม่ใช่เริ่มต้นนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งหรือวันที่ได้โฆษณาคำสั่งศาลในราชกิจจานุเบกษาแต่อย่างใด
3) ผลของการสาบสูญ ทำให้สิ้นสภาพบุคคล ถือว่าผู้นั้นถึงแก่ความตาย ซึ่งจะก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายบางประการ ได้แก่
(1) เรื่องครอบครัว เช่น ทำให้บิดาหรือมารดาที่ถูกศาลสั่งให้เป็นสาบสูญสิ้นสุดการเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ดังนั้นมีผลให้บิดาหรือมารดาเพียงฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง เมื่อสามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ เป็นต้น
(2) เรื่องมรดก เมื่อบุคคลใดต้องถือว่าถึงแก่ความตาย ในกรณีสาบสูญ มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดสู่ทายาท เพียงแต่การตกทอดของมรดกในกรณีเช่นนี้ผู้รับมรดกอาจต้องคืนทรัพย์มรดกได้ หากภายหลังพิสูจน์ได้ว่าผู้สาบสูญนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายในเวลาอื่น
4) การถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญ เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นสาบสูญแล้ว กฎหมายให้อำนาจที่จะเพิกคำสั่งดังกล่าวนั้นได้ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดได้แก่
(1)บุคคลที่สาบสูญนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือ
(2) บุคคลที่สาบสูญนั้นได้ถึงแก่ความตายผิดไปจากระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นจริงๆ แล้วได้ถึงแก่ความตายก่อนหรือหลังเวลา 5 ปี ในกรณีธรรมดา หรือ 2 ปี ในกรณีพิเศษ
บุคคลผู้มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญนั้นได้แก่ ผู้สาบสูญเอง หรือผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการ ซึ่งคำสั่งเพิกถอนแสดงความสาบสูญจะต้องโฆษณานาราชกิจจานุเบกษา
5) ผลของการเพิกถอนคำสั่งเป็นคนสาบสูญ เมื่อศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนการเป็นคนสาบสูญแล้ว ย่อมมีผลลบล้างกิจกการต่างๆ ที่ได้กระทำไปเนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญเสียทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องการรับมรดก ถ้าศาลได้เพิกถอนคำสั่งเป็นคนสาบสูญเพราะเหตุว่าคนสาบสูญยังมีชีวิตอยู่ ดังนี้มรดกที่ทายาทได้รับไปแล้วก็ต้องคืนให้แก่เขาไปหรือถ้าในกรณีที่ศาลได้เพิกถอนคำสั่งการเป็นคนสาบสูญ เพราะว่าผู้สาบสูญนั้นได้ถึงแก่ความตายในเวลาอื่นผิดจากเวลาที่กฎหมายกำหนด ดังนี้มรดกที่ตกทอดสู่ทายาทอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้
2.นิติบุคคล
นิติบุคคล คือ สิ่งที่กฎหมายจัดตั้งให้เป็นบุคคลมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เช่น สามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สิน เป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ก็ได้ เป็นโจทก์หรือจำเลยก็ได้
2.1 การเกิดขึ้นของนิติบุคคล
การเกิดขึ้นของนิติบุคคล นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ สมาคม มูลนิธิ ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด เป็นต้น ส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายอื่นที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รับรอง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม สภาตำบล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้น พรรคการเมือง โรงเรียนที่สังกัดกรมสามัญศึกษา ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เป็นต้น
2.1.1 สิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคล
สิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคล นิติบุคคลมีสิทธิหน้าที่ภายในวัตถุประสงค์เท่านั้น เช่น กระทรวง ทบวง กรม มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด เป็นต้น มีสิทธิและหน้าที่แตกต่างกันไปตามตราสารที่จัดตั้งกำหนดไว้จะทำกิจการนอกเหนือจากที่วัตถุที่กำหนดไว้ไม่ได้ กฎหมายจึงจำกัดสิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคลโดยแยกเป็นสาระสำคัญ ได้ 2 ประการ คือ
1.สิทธิและหน้าที่ภายในขอบวัตถุประสงค์ นิติบุคคลที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อการใด กฎหมายจำกัดให้มีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการนั้นเท่านั้น จะทำการอื่นใดนอกจากขอบวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ไม่ได้ เช่น สมาคมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกีฬาย่อมไม่มีสิทธิที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการศาสนาหรือการเมือง
2.สิทธิและหน้าที่ซึ่งว่าโดยสภาพจะพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดา กล่าวคือ นิติบุคคลย่อมมีสิทธิหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เว้นแต่สิทธิสิทธิและหน้าที่ซึ่งว่าโดยสภาพจะพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดา ที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้ก็เพราะว่านิติบุคคลเป็นบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้น ไม่มีชีวิตจิตใจ จึงไม่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นไปได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดา เช่น ไม่อาจทำการสมรส ไม่มีหน้าที่รับราชการตำรวจ ไม่มีสิทธิทางการเมือง เป็นต้น
2.1.2 การจัดการนิติบุคคล
ในเรื่องการจัดการนิติบุคคลกฎหมายกำหนดว่า “ความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนนิติบุคคล” ดังนั้นกิจการของนิติบุคคลจึงจำเป็นต้องมีบุคคลธรรมดาเป็นผู้แทนในการดำเนินงาน ซึ่งจะได้พิจารณาออกเป็นดังนี้
1.ผู้แทนของนิติบุคคล เนื่องจากนิติบุคคลไม่มีชีวิตจิตใจ ดังนั้นการดำเนินกิจการ การใช้สิทธิหน้าที่ต้องมีผู้แทนคนหนึ่งหรือหลายคนตามที่กฎหมาย ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งกำหนดไว้ เช่น รัฐมนตรีเป็นผู้แทนกระทรวง อธิบดีเป็นผู้แทนกรม อธิการบดีเป็นผู้แทนมหาวิทยาลัย หุ้นส่วนหรือหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้แทนห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว กรรกมการเป็นผู้แทนของบริษัท ผู้จัดการเป็นผู้แทนสมาคมหรือมูลนิธิ เป็นต้น
2.อำนาจของผู้แทนนิติบุคคล โดยปกติแล้ว ผู้แทนนิติบุคคลจะบุคคลอำนาจอย่างไรบ้างนั้น มักจะถูกกำหนดลงไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งนิติบุคคลหรือจะถูกระบุลงไว้ในกฎหมายพิเศษที่จัดตั้งนิติบุคคล
3.ความรับผิดของผู้แทนนิติบุคล กิจการต่างๆซึ่งผู้แทนนิติบุคคลได้กระทำไปนั้น หากเป็นการกระทำนั้นก็อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลแล้ว นิติบุคคลจำต้องต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกในการที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันที่ผู้แทนได้กระทำไป และในขณะเดียวกันถ้าเกิดความเสียหายขึ้นแก่บุคคลภายนอก เพราะผู้แทนได้ก่อให้เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ นิติบุคคลก็ย่อมรับผิดต่อบุคคลภายนอกด้วย เช่น นายเอก เป็นกรรมการของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ได้ขับรถยนต์ของบริษัทเพื่อไปทำการติดต่อกับผู้เอาประกันชีวิตตามหน้าที่ และในระหว่างขับรถยนต์ไปนั้นได้ชน นายโท เข้า นายโท ได้รับบาดเจ็บ ในกรณีเช่นนี้บริษัทประกันชีวิต จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโท ไป อย่างไรก็ตามบริษัทก็สามารถที่จะไปไล่เบี้ยเอาแก่ผู้เป็นต้นเหตุที่ความเสียหายได้ในภายหลัง
2.1.3 ภูมิลำเนาของนิติบุคคล
ภูมิลำเนาของนิติบุคคล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดภูมิลำเนาของนิติบุคคล ไว้ดังนี้ ถิ่นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือที่จัดตั้งที่ทำการ หรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนา เฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง ซึ่งสามารถแยกอธิบายภูมิลำเนาของนิติบุคคลออกเป็น
1.ถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่หรือที่ตั้งที่ทำการตั้งอยู่ โดยปกติแล้วภูมิของนิติบุคคล ได้แก่ ถิ่นสำนักงานแห่งใหญ่ที่ตั้งอยู่หรือที่ตั้งที่ทำการตั้งอยู่ ซึ่งถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่หรือตั้งที่ทำการตั้งอยู่นั้น คือ ถิ่นซึ่งเป็นที่บัญชาการหรือจัดกิจการของนิติบุคคล
2.ถิ่นที่เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับ ฤาตราสารจัดตั้ง นอกจากนิติบุคคลจะมีถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่หรือที่ตั้งทำการตั้งอยู่เป็นภูมิลำเนาแล้ว กฎหมายยังได้กำหนดให้นิติบุคคลสามารถมีภูมิลำเนาเฉพาะการได้อีกด้วย ถ้าในข้อบังคับ ฤาตราสารจัดตั้งได้เลือกเอาไว้แล้ว
3.ถิ่นที่มีสาขาสำนักงานอันควรจัดเป็นภูมิลำเนาเฉพาะในส่วนกิจการอันทำ ณ ที่นั้น โดยปกตินิติบุคคลที่มีกิจการใหญ่โต มักจะมีสาขาอยู่ในที่ต่างๆ เพื่อขยายกิจการของตน ดังนี้หากกิจการที่กระทำในสาขานั้นมีลักษณะที่ดำเนินกิจการสมบูรณ์ลำพังตัวได้ ก็อาจถือว่าถิ่นที่ตั้งสำนักงานสาขานั้นเป็นภูมิลำเนาในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการที่สาขานั้นดำเนินการ หรือ หรือบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในต่างประเทศ แต่มาตั้งสาขาทำการค้าในประเทศไทยอาจถือได้ว่ามีภูมิลำเนาในประเทศไทยสำหรับกิจการที่ได้ทำในประเทศไทย
2.1.4 การสิ้นสภาพนิติบุคคล
นิติบุคคลอาจสิ้นสภาพบุคคลไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ
1.ตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง เช่น นิติบุคคลก่อตั้งขึ้นมีกำหนด 10 ปี เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วก็เป็นอันยกเลิกไป
2.โดยสมาชิกตกลงเลิก เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล เมื่อเป็นหุ้นส่วนทุกคนตกลงเลิกกิจการแล้ว ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามัญนิติบุคคลก็ย่อมเลิกไป
3.เลิกโดยผลแห้งกฎหมาย เช่น ล้มละลาย
4.โดยคำสั่งศาลให้เลิก เช่น นิติบุคคลทำผิดกฎหมายว่าด้วยความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.2 การทำนิติกรรมของนิติบุคคล
การทำนิติกรรมของบุคคล นิติกรรม หมายความว่า การใดๆอันทำลงไปโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ เช่น การทำสัญญาซื้อขาย การเช่าทรัพย์กู้ยืมเงิน จ้างแรงงาน หุ้นส่วนบริษัท การหมั้น การจดทะเบียนสมรส การรับรองบุตร การทำพินัยกรรม การยกให้ทรัพย์สิน เป็นต้น
1.หลักในการทำนิติกรรม การทำนิติกรรมให้มีผลสมบูรณ์มีหลักเกณฑ์ คือ
1)ต้องมีเจตนาทำนิติกรรมให้ปรากฏออกมาภายนอก
2)บุคคลผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมจะต้องมีความสามารถในการทำนิติกรรม คือ มีความรู้ความเข้าใจ มีสิติปัญญาในการแสดงเจตนาที่ไม่มีกฎหมายจำกัดไว้ เช่น ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ ถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรม ถือว่าเป็นผู้หย่อนความสามารถ
3)วัตถุประสงค์ของนิติกรรมต้องชอบด้วยกฎหมายไม่พ้นวิสัย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น การทำสัญญาซื้อขายอาวุธสงคราม เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือทำสัญญาซื้อขายพื้นที่ดวงจันทร์เป็นสัญญาที่เป็นการพ้นวิสัย เป็นต้น
ข้อสังเกต การเกิดมามีสภาพบุคคล การมีอายุครบบรรลุนิติภาวะ (20 ปีบริบูรณ์) การตายทำให้เกิดผลในทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง มีสิทธิหน้าที่กฎหมายรับรอง กรณีเหล่านี้ ถือว่าเป็นนิติเหตุ
นิติเหตุ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับเจตนาของบุคคลหรือเป็นการที่ก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิดผลในกฎหมาย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้กฎหมายต้องรับรู้ เช่น ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้
2.ผลของการทำนิติกรรม การทำนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์นั้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ นิติกรรมที่เป็น “โมฆะ” กับ นิติกรรมที่เป็น “โมฆียะ”
1)นิติกรรมที่เป็นโมฆะนั้นจะเป็นนิติกรรมที่สูญเปล่าเปรียบเสมือนไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น
2)นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้นเป็นนิติกรรมที่ทำลงโดยผู้หย่อนความสามารถ เช่นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ เป็นต้น ผลของการทำนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ นั้นสมบูรณ์จนกว่าผู้มีอำนาจจะบอกล้าง เมื่อบอกล้างแล้วนิติกรรมนั้นเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก แต่ถ้าไม่บอกล้าง คือ การยอมรับหรือยินยอมที่เรียกว่า “การให้สัตยาบัน” ถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過6萬的網紅บัญชีอย่างง่าย,也在其Youtube影片中提到,ตั้วอย่าง คลิปที่ 1 คอร์สออนไลน์ก้าวเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล บทที่ 1 : ข้อมูลที่มีผลต่อการตัดสินใจ คลิปที่ 1 : ก้าวเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล คลิปที่ 2 : ทำไม...
「ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง」的推薦目錄:
- 關於ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
- 關於ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 บัญชีอย่างง่าย Youtube 的精選貼文
- 關於ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 manopyellow Youtube 的最佳貼文
- 關於ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 manopyellow Youtube 的最佳解答
- 關於ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 บริษัท กับ ห้างหุ้นส่วน ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน ? (ตอนแรก) 的評價
- 關於ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 บัญชีภาษีเชิงรุก - #สัญญาเลิกห้าง #เลิกห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง สัญญา ... 的評價
ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 บัญชีอย่างง่าย Youtube 的精選貼文
ตั้วอย่าง คลิปที่ 1 คอร์สออนไลน์ก้าวเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล
บทที่ 1 : ข้อมูลที่มีผลต่อการตัดสินใจ
คลิปที่ 1 : ก้าวเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล
คลิปที่ 2 : ทำไมถึง(บีบ)ให้จดเป็นนิติบุคคล
คลิปที่ 3 : Nation E-Payment มีผลกระทบอย่างไรกับเราบ้าง
คลิปที่ 4 : มาตรการภาษีเปลี่ยนอะไร
คลิปที่ 5 : เลือกเปิดแบบไหนดี ห้างหุ้นส่วน VS บริษัท
คลิปที่ 6 : จดนิติบุคคลต้องใช้เงินเท่าไหร่
คลิปที่ 7 : ใครบ้างที่ควรรีบจดนิติ!!!!
คลิปที่ 8 การเตรียมตัวจดนิติ ด้วย 6 ขั้นตอน
คลิปที่ 9 ความต่างการคำนวณภาษี บุคคล vs นิติ
คลิปที่ 10 คำนวณภาษีเงินได้ แยกตามรายได้
-----------------------------------
บทที่ 2 : 10 ข้อควรระวังเมื่อเปิดนิติบุคคล
ข้อควรระวังที่ 1: ทำธุรกรรมในนามนิติบุคคล
ข้อควรระวังที่ 2 : รับเงินเข้าบัญชีบุคคล
ข้อควรระวังที่ 3 : เบิกเงินเป็นก้อนแต่ไม่มีหลักฐาน
ข้อควรระวังที่ 4 : จดหลายสาขาต้องมีระบบ บัญชีที่ดีมากๆก่อน
ข้อควรระวังที่ 5 :ไว้ใจสำนักงานบัญชีแค่พอประมาณ
ข้อควรระวังที่ 6 : เปิดบิลเฉพาะที่ลูกค้าขอ
ข้อควรระวังที่ 7 : stock ไม่ตรงกัน
ข้อควรระวังที่ 8: แต่งบัญชี ทำรวมกันแต่รับผิดชอบคนเดียว
ข้อควรระวังที่ 9 : สรรพกรไทย อินดี้ มีแนวคิดที่ไม่ตรงบัญชี
ข้อควรระวังที่ 10 : ออกบิลผิด
------------------------------------
บทที่ 3 : เอกสารบัญชี - ภาษี ที่ควรรู้เมื่อเป็นนิติบุคคล
คลิปที่ 1:ทำงานประจำและมีธุรกิจส่วนตัว
คลิปที่ 2:เป็นบุคคลก็ต้องทำงานเอกสาร
คลิปที่ 3: โอนย้ายเป็นนิติบุคคล
คลิปที่ 4: อยู่แบบบุคคลอย่างไรให้เสียภาษีน้อยที่สุด
คลิปที่ 5: เอกสารที่นิติต้องทำ
คลิปที่ 6: ตัวอย่างเอกสารด้านรายได้
คลิปที่ 7: ตัวอย่างเอกสารอื่นๆ
คลิปที่ 8: ตัวอย่างเอกสารด้านค่าใช้จ่าย
คลิปที่ 9: 7ภาษีในนิติบุคคล
คลิปที่ 10: ภาษีเงินได้นิติบุคคล
คลิปที่ 11: ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT
คลิปที่ 12: ภาษีหัก ณ.ที่จ่าย
คลิปที่ 13: ภาษีป้าย
คลิปที่ 14 ภาษีโรงเรือน
เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
----------------------------------------
บทที่4 Facebook liveตอบคำถาม เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
---------------------------------------
บทที่ 5 : 20 คำถาม ที่เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ต้องการรู้
คลิปที่ 1 : 5 คำถามสำหรับท่านที่ตัวสินใจเป็นนิติบุคคล
คลิปที่ 2 : 5 คำถามของท่านที่กำลังลังเล รอตัดสินใจ
คลิปที่ 3 : 5 คำถามถ้าไม่เปลี่ยนเป็นนิติบุคคล
คลิปที่ 4 :5 คำถามเกี่ยวกับการจ้างสำนักงานบัญชี
--------------------------------------
เนื้อหารวมกว่า 12 ชั่วโมง
เรียนออนไลน์ ในเฟสบุค กลุ่มปิด
เรียนเมื่อไหร่ ที่ไหน กี่รอบก็ได้
รายละเอียดหลักสูตร
http://bit.ly/2ozQqpA
หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
คุณแอน 0944962453
ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 manopyellow Youtube 的最佳貼文
ติวผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor : TA) Yellow การบัญชี โดย อ.มานพ สีเหลือง
ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 manopyellow Youtube 的最佳解答
ติวผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor : TA) Yellow การบัญชี โดย อ.มานพ สีเหลือง
ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 บัญชีภาษีเชิงรุก - #สัญญาเลิกห้าง #เลิกห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง สัญญา ... 的推薦與評價
สัญญาเลิกห้าง #เลิกห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง สัญญาเลิกห้างหุ้นส่วน... ⚖ ⚖ ⚖ ▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭▭ กดติดตามและกระดิ่งแจ้งเตือน ... ... <看更多>
ห้างหุ้นส่วน ตัวอย่าง 在 บริษัท กับ ห้างหุ้นส่วน ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน ? (ตอนแรก) 的推薦與評價
2:47 ตัวอย่าง การแบ่งหุ้นและสัดส่วนความเป็นเจ้าของ 3:42 ... 8:45 การแบ่งกำไรของ ห้างหุ้นส่วน 9:36 สรุป #สร้างเสริมประสบการณ์ภาษี ... ... <看更多>