ก่อนจะถึงวันปีใหม่ 3 วัน มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งวัย 17 ปี เรียนอยู่จังหวัดปัตตานี ส่งข้อความมาหาพร้อมแคปเจอร์บทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับผลวิจัยว่าด้วย “เด็กที่ครูไม่ชอบสมัยเรียนมักจะประสบความสำเร็จตอนโต เพราะพวกเขาชอบเรียนรู้ที่จะสร้างสิ่งใหม่ และท้าทายกรอบเดิมๆ แทนที่จะคล้อยตามสิ่งที่สังคมกำหนด จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นคนนอกคอก”
.
โดยข้อความของน้องคนนี้มีอยู่ว่า “ตอนนี้หนูเรียนอยู่ ม.ปลาย อายุ 17 ปี ชีวิตหนูตรงกับเรื่องในบทความนี้มาก หนูไม่ชอบอยู่ในกรอบ ไม่ชอบคิดเหมือนคนอื่น แล้วก็ไม่ชอบโรงเรียนค่ะ หนูจะทำยังไงดี อยากให้ช่วยแนะนำหนังสือหน่อยค่ะ”
.
พอเห็นคำว่า “ไม่ชอบโรงเรียน” หลายคนอาจจะคิดว่า เด็กคนนี้คงเรียนไม่ได้เรื่องนะสิเลยไม่ชอบโรงเรียน แต่ผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่าโรงเรียนที่น้องคนนี้เรียนอยู่ คือ โรงเรียนอันดับ 1 ประจำจังหวัด ที่คนสอบเข้ายากที่สุด
.
ผมเลยถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า ถ้าน้องไม่ชอบโรงเรียน ไม่ชอบอยู่ในกรอบ เเล้วเราชอบอะไรครับ ?
.
น้องตอบกลับมาว่า “ชอบเขียนโปรแกรม และ สนใจอยากทำธุรกิจด้านนวัตกรรมค่ะ”
.
คำตอบของเด็กสาวอายุแค่ 17 คนนี้ทำให้ผมตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอเด็ก 17 ที่ไหนศึกษาและเขียนโปรแกรมเพื่อสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ ส่วนใหญ่ก็จะเจอแค่ประวัติคนสำเร็จที่เป็นคนฝรั่ง
.
ผมจึงถามต่อด้วยความตื่นเต้นว่า “แล้วได้ลองเขียนโปรแกรมหรือยังครับ”
.
น้องตอบกลับมาว่า “เคยเข้าค่าย สอวน.คอมพิวเตอร์ แล้วก็ศึกษาด้วยตนเองระดับหนึ่งค่ะ ตอนนี้หนูมีไอเดียอยากเขียนโปรแกรมเพื่อทำธุรกิจ แต่ยังไม่รู้ว่าสำหรับความเป็นเด็กมัธยมจะเริ่มได้ไหม
.
พอมีหนังสือหรืออะไรแนะนำหนูไหมคะ คือด้วยความที่หนูคิดต่างจากเพื่อนๆ ทำให้บางครั้งหนูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ว่าความคิดต่างของหนูจะนำไปสู่ความสำเร็จในรูปแบบที่หนูต้องการ เพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่หนูทำเท่าไหร่ค่ะ
.
ในจังหวะนั้นเอง ผมก็เข้าไปส่องเฟซบุ๊กส่วนตัวของน้อง ซึ่งก็เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่น้องได้ไปเข้าค่ายและแข่งขันเขียนโปรแกรม ซึ่งมันผมเอาผมอึ้งมาก ว่านี่เด็ก 17 จริงๆ หรอ
.
ผมจึงกลับมาแล้วตอบน้องไปว่า “พี่เข้าไปดูในเฟซบุ๊กส่วนตัวของน้องแล้ว น้องเป็นเด็กมีของนะ และน้องโคตรเก่งเลย
.
จากนั้นเราก็คุยเรื่องหนังเกี่ยวกับธุรกิจอยู่สักพักหนึ่ง เพราะผมยังไม่อยากแนะนำหนังสือน้องเท่าไหร่ เพราะหนังสือแนวนี้เนื้อหาค่อนข้างหนัก จึงคิดว่ามันไม่เหมาะกับเด็ก 17 ปี
.
ตอนผมถามเกี่ยวกับการเรียนของน้อง จนรู้ว่าน้องเรียนโรงเรียนอันดับ 1 ของจังหวัด และ อยู่ห้องพิเศษระดับท็อปสำหรับหลักสูตรที่เน้นไปทางงานวิจัย มีอยู่ช่วงหนึ่งน้องก็พูดขึ้นมาว่า “หนูไม่รู้ว่าที่หนูทำมันถูกไหม เพราะไม่มีใครคิดเหมือนหนูเลย เพื่อนๆ ในห้องมากกว่าครึ่งอยากเป็นหมอ และการศึกษาก็เอาแต่พูดเรื่องนี้ หนูเลยไม่ชอบโรงเรียน”
.
ผมจึงบอกน้องไปว่า “ที่คนไม่ค่อยเห็นด้วยกับน้อง เพราะคนทั่วไปชอบที่จะทำในสิ่งที่มีอยู่แล้ว หรือได้รับการการันตีว่ามันดีและทำแล้วจะมีชื่อเสียงแน่นอน แต่น้องกำลังสร้างสิ่งใหม่ที่คนไม่คุ้นเคย ไม่มีใครรู้จักสิ่งที่น้องคิด น้องกำลังเดินในเส้นทางที่ไม่มีใครเดิน มันก็ไม่แปลกที่คนจะต่อต้าน คนที่เก่งในสิ่งที่มีอยู่เเล้ว อาจจะเป็นคนมีชื่อเสียง แต่คนที่จะยิ่งใหญ่ได้ คือคนที่สร้างสิ่งใหม่ครับ และน้องกำลังเป็นคนนั้น”
.
ทันใดนั้นน้องก็ตอบกลับมาทันทีว่า “หนูขอบคุณพี่มากๆ พี่ทำให้หนูมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเยอะเลยค่ะ ว่าแต่พี่จะแนะนำหนังสือเล่มไหนให้หนูดีค่ะ”
.
ตอนแรกผมก็ส่งคลิป ส่งหนังให้น้องไปดู ให้เหมาะกับวัยของน้อง แต่ถ้าน้องอยากอ่านหนังสือ ผมก็จะลองแนะนำให้
.
ซึ่งหนังสือที่ผมแนะนำคือ หนังสือ Start with why ทำไมต้องเริ่มด้วย “ทำไม”
.
ตอนแรกที่แนะนำเล่มนี้ ก็แอบกังวลว่าน้องจะอ่านเข้าใจไหม เพราะเนื้อหาค่อนข้างหนัก อ่านแล้วต้องตีความ ถ้าคนไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องธุรกิจมาก่อน บอกเลยว่าเล่มนี้อ่านไม่ง่าย
.
แต่เมื่อหนังสือส่งถึงมือของน้อง น้องคนนี้ก็เปิดอ่าน แล้วส่งข้อความมาหาผมว่า “หนูอ่านเพลินเลยค่ะ”
.
ผมถึงกับนิ่งไปพักนึง พลางอมยิ้มไปด้วย “ขนาดเรายังอ่านแล้ว ต้องย้อนไปย้อนมา กว่าจะทำความเข้าใจได้ แต่เด็ก 17 คนนี้กลับบอกว่าเล่มนี้อ่านเพลิน มันไม่ธรรมดาจริงๆ”
.
ระหว่างที่ผมนิ่งอยู่นั้น น้องก็ส่งข้อความมาอีกว่า “พอได้อ่านแล้ว รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่มีความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น พอหนูอ่านมาถึงในส่วนของความกลัวและการสร้างแรงกดดัน ทำให้หนูได้ลองเชื่อมโยงกับระบบการศึกษาไทยที่มุ่งสร้างความกลัว และแรงกดดันให้นักเรียน เรียนเพื่อสอบ โดยที่เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้เลย สอบเสร็จก็ลืม เป็นระบบการศึกษาที่ค่อนข้างล้มเหลว เพราะไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ”
.
ผมอึ้งไปอีก เพราะเด็กคนนี้ไม่ได้อ่านหนังสือไปเรื่อยเท่านั้น แต่เขาเชื่อมโยงกับชีวิต สภาพเดิมๆ ของสังคม และระบบการศึกษาด้วย
.
ในระหว่างที่นั่งอึ้งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือผมก็พลางเอื้อมลงบนแป้นพิมพ์ แล้วตอบกลับไปว่า “ใช่ครับ พี่ก็คิดอย่างนั้นนะ การศึกษาไทยเราไม่ฝึกให้เด็กตั้งคำถาม ว่าทำไมเราถึงต้องเรียนวิชาเหล่านี้ ในส่วนนี้เราจะเอาไปใช้กับชีวิตยังไง สมัยพี่เรียน ม.ปลาย พี่ก็เคยยกมือถามครู ว่าเราเรียนสิ่งนี้ไปทำไมหรอครับ แต่คำตอบที่พี่ได้จากครู คือ เรียนเพื่อไปสอบค่ะ”
.
พี่ถึงขนาด อีหยังวะ “สอนให้เราเรียน สอนให้ท่องจำ แต่ไม่เคยสอนเราว่า เรียนไปทำไม ?”
.
น้องจึงตอบมาว่า “จริงๆ ในห้องของหนู ยังมีเพื่อนอีกหลายๆ คนที่เคยคิดตั้งคำถามเหล่านี้ แต่ด้วยความกลัวและแรงกดดัน พวกเราจึงพยายามลืมในสิ่งที่ตัวเองคิด แล้วทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกว่าถูกต้อง”
.
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากน้องคนนี้คือ “จริงๆ แล้วเด็กไทยเราเก่งมาก แม้แต่ในชนบทก็ตาม ยิ่งเด็กที่มีฐานะไม่ได้ร่ำรวยมาก ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ทำให้เด็กเหล่านี้จะช่างประดิษฐ์ ดัดแปลง และ คิดอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด”
.
แต่ด้วยระบบทางสังคมที่คอยหล่อหลอม ทำให้ความอัจฉริยะในตัวของพวกเขานั้นถูกกดทับจนเลือนหายไป เหลือแต่เพียงอาชีพและสิ่งที่สังคมกำหนดเอาไว้เท่านั้น สุดท้ายเด็กก็ได้แต่ทำตามๆ กัน
.
แต่อย่างน้อยก็มีน้องคนนี้คนหนึ่งแหละ ที่กล้ายืนหยัดในความฝันของตัวเอง
.
ผมจึงได้บอกน้องคนนี้ไปว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ขอให้น้องเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ว่าใครจะว่ายังไง จำไว้ว่าพี่จะซัพพอร์ตน้องเสมอ เพราะพี่เชื่อเหลือเกินว่าน้องจะสร้างอนาคตให้ประเทศนี้เเละบ้านเกิดของน้องเอง”
.
และถ้าพี่ได้กลับปัตตานีและมีโอกาสได้งานบรรยาย พี่จะพาน้องไปด้วย เพราะพี่อยากให้น้องสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนกล้าที่จะคิดต่าง
.
เพราะพี่เชื่อว่าเด็กบ้านเรา เก่งๆ เยอะเลย เเต่เขาโดนกรอบหลายอย่างกดทับ และขาดโอกาสหายอย่าง พี่อยากให้น้องเป็นส่วนหนึ่งที่ปลดล็อคสิ่งเหล่านี้”
.
น้องตอบกลับมาว่า “ได้เลยค่ะ พี่มีเป้าหมายเหมือนหนูเลย... หนูก็อยากเป็นส่วนหนึ่งให้เด็กคนอื่น ๆ กล้าคิดต่าง ก่อนหน้านี้หนูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ว่าหนูโชคดีหรือโรคร้ายที่ชอบคิดไม่เหมือนคนอื่น หนูเลยทะเลาะกับความคิดคนอื่นประจำ แต่พี่ทำให้หนูรู้ว่าหนูโชคดีมากๆ”
.
เชื่อไหมครับว่า การได้คุยกับน้องคนนี้ ทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นมา อย่างน้อยน้องคนนี้ก็ทำให้ผมมีความหวังว่าประเทศไทยของเราจะมีอนาคตที่ดีขึ้น
.
.
.
ปล.ผมเห็นน้องกำลังฟอร์มทีม และมองหาคนเพื่อเข้าร่วมโครงการ GenZGenBiz Innovation Camp ตอนนี้น้องมีไอเดียแล้ว อยากสร้างนวัตกรรมนี้ให้เกิดขึ้นจริง ผ่านการเข้าร่วมโครงการกับ NIA โครงการนี้กำหนดให้มีสมาชิกในทีมไม่เกิน 3 คน ตอนนี้น้องยังไม่มีทีม น้องอยากได้คนที่อยากสร้างสรรค์นวัตกรรม และคิดนอกกรอบ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ กัน
.
ใครสนใจผมจะแปะลิ้งไว้ให้ใต้คอมเมนต์นะครับ
เรียนเพื่อสอบ 在 Nutty NihonGo Facebook 的最佳貼文
ว่าด้วยเรื่อง"ไม่ได้ใช้...ก็ลืมหมด"
ยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่านัตตี้เป็นคนนึง
ที่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่น(อย่างเข้มข้น)
แต่พอไม่ได้ใช้....ก็ลงหม้อหมด!
มีใครเป็นแบบนี้บ้าง ยกมือขึ้น!!
ขอเล่าย้อนไปตอนช่วงม.ปลาย
(โรงเรียนปวช. 3ปีเต็มๆ)
ที่มีความสุขและสนุก
กับการเรียนภาษาญี่ปุ่นมากๆๆ
และรูปนี้ก็คือตอนปวช.3(เทียบม.6)
ตอนนั้นเป็น #ประธานนักเรียน ด้วยนะเอออ
(ดูเป็นเด็กเรียน....จริงๆแล้วซนมาก)
เรียนกับครูญี่ปุ่น ได้ที่1 คะแนนเต็มตลอด
ถึงขั้นเป็นต้วแทนโรงเรียน
เป็นติวเตอร์ให้เพื่อน
ได้ฝึกงานกับคนญี่ปุ่น ฯลฯ
ตอนนั้นสอบN4ผ่านในครั้งเดียว
และคนแรกของโรงเรียนเลย
แหมะ มันน่าภูมิใจ55555
แต่กระนั้น....
พอเข้ามหา'ลัย
ก็ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นต่อค่ะ
น่าเสียดายมากๆๆๆ
(แต่ก็ได้ทักษะอื่นๆมาแทนเนอะ)
เมื่อไม่ได้ใช้...
ไม่ว่าอะไรก็ตาม...
ก็ย่อมหด หาย แน่นอน
ห่างหายจากภาษาญี่ปุ่นไป
เกือบ10ปี เลยทีเดียวค่ะ
(ทำงานร้องเพลง ไปยาวๆ)
มารื้อฟื้นอีกที
ก็ตอนทำ พิธีกร รายการเที่ยวญี่ปุ่น
อาริกาโตะ Go I Must
อย่าเรียกว่า #รื้อฟื้น เลยค่ะ
เรียกว่า #เรียนใหม่ จะเหมาะกว่า5555
เป็นอาการคล้ายๆ #ความจำเสื่อม
เหมือนจะคิดออก...
แต่ก็คิดไม่ออก...
เอ๊ะๆๆๆ คำนี้มันพูดยังไงนะ?
เอ๊ะๆๆ คำนี้คุ้นๆ แปลว่าอะไรนะ?
อยู่ตลอดเวลา...
กลับมาเรียนแบบตัวต่อตัว
กับ #ครูชาวญีปุ่น ที่อยู่ที่ไทย
นั่งปรับทัศนคติกันอยู่นาน
ว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต??
จะเรียนใหม่หมด ก็คงเงินหมดก่อน
(ค่าเรียนตัวต่อตัว กับครูญี่ปุ่นค่อนข้างสูง)
ก็ได้ข้อสรุปว่า เอางี้
กลับไปทบทวนที่เคยเรียนมา
จากตำรา #มินนะ1ถึง4 นี่ล่ะ
เหมือน #เรียนด้วยตัวเอง มาก่อน
แล้ว มาฝึกใช้กัน มานั่งคุยกัน
ว่าไม่เข้าใจตรงไหน อันไหนใช้ยังไง
มีคำถามอะไรก็เอามาเคลียร์กัน
บอกเลยว่า....เวิร์ค!!
#สุดปัง ปังปะระรังปังปรี้
บวกกับลองเอาไปใช้
ช่วงที่ไปถ่ายรายการที่ญี่ปุ่นบ่อยๆ
ค่อนข้างไปเร็วมาก
จนบางทีก็ตกใจตัวเอง
ว่าฟังเข้าใจได้ไงวะ งงมาก555
พองานยุ่งมากๆ จัดเวลาได้ไม่ตรงกับครู
ก็ห่างหายการเรียนตัวต่อตัวไป
#จบมินนะ4เล่ม แล้วเอาไงต่อดี??
ก็เลยอ่านหนังสือเตรียม #สอบN3 ต่อ
อ่านหนังสือเตรียมสอบ
+ #เรียนออนไลน์ ไปด้วย
อยู่ประมาณ6เดือน
ไหนๆก็ไหนๆ ไปสอบซะเลยก็ดี
ประลองวิทยายุทธ์หน่อย
กะว่าแค่ไปลองสนาม...
ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ลองดูๆๆ
ผลปรากฏว่า......
#สอบผ่านเฉยยยยยยย!
คะแนนเกินที่คิดไว้มาก
(ตอนแรกคิดว่าไม่ผ่านไง...)
ตกใจ+แปลกใจ
ใบคะแนนถูกคนป่าวเนี่ย555
ระหว่างที่อ่านหนังสือสอบ
ก็พยายามเอาไปใช้ด้วย
แต่ก็สังเกตเห็นหลายอย่าง
ว่า #ในข้อสอบ กับ #ใช้จริง
มันจะมีความต่างของมันอยู่
และวิธี #เรียนเพื่อสอบ
กับ #เรียนเพื่อใช้จริง
ก็ต่างอย่างเห็นได้ชัด
อันนี้ก็คงต้อง #ปวดขมับ ไปอีกนาน
ก็มีแรงฮึด!
แต่ก็ต้องปล่อยระยะสักนิด...
ให้สมองได้ดูดซึมสิ่งที่เอาไปสอบ
ได้เอามาใช้จริงบ้างไรบ้าง
แต่อย่าทิ้งนาน...
ก็เลยอ่านหนังสือไปสอบN2อีกรอบ
.......
ไว้มาเล่าต่อ ตอนหน้า นะคะ
พิมพ์ยาวละ เมื่อยมือ...5555
สรุปแล้ว
ใช้เวลาจาก0-N2 ประมาณ2ปีค่ะ
ที่เหมือนเร็ว อาจจะเพราะ
ได้ใช้บุญเก่า(ที่มีน้อยนิด)
ในการ #ทบทวนมินนะ4เล่มด้วยตัวเอง
แล้วก็ไปฝึกใช้กับ #ครูญี่ปุ่น ด้วย
แต่เชื่อว่าถ้าคนที่0จริงๆ
ก็สามารถใช้เวลาเท่ากับหรือน้อยกว่าได้นะ
เอาไว้มาพูดถึงการ #เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
กันเพิ่มเติมรอบหน้านะค้า
ฝากกดติดตามทุกช่องทางเลยน้าาา
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้
หวังว่าจะมีประโยชน์
และเป็นกำลังใจ หรือเป็นความหมั่นไส้
ให้คนผู้อ่านนะค้าาา55555
🎌ทดลองเรียนฟรี / สมัครเรียน🎌
คอร์ส”มินนะ โนะ นิฮงโกะ”กับนัตตี้เซนเซ!!
ได้ที่ www.OpenDurian.com/jap1_krunutty
----------------------------------------
ติดตามช่องทางต่างๆ ของ Nutty NihonGo🎌
👍🏻 Nutty NihonGo
🎥 www.youtube.com/NuttyNihonGo
📱www.tiktok.com/@Nuttynihongo
📸 www.instagram.com/NuttyNihongo
🐦 www.twitter.com/NuttyNihonGo
🌐 www.NuttyNihonGo.com
☘️LINE@ : @NuttyNihongo (มี@ด้วยนะ)
หรือ http://nav.cx/oClZP0
เรียนเพื่อสอบ 在 เรียนออนไลน์จะวางใจได้อย่างไร? //ติว "สอบเข้าม.1" กับ ครูน้ำครูวัน ... 的推薦與評價
รีวิวคอร์สติว สอบ เข้า ม.1 เรียน ออนไลน์จะวางใจได้อย่างไร?"เพราะคุณแม่ป่วยต้องรักษาจึงต้องมองหาที่ เรียน ... ... <看更多>
เรียนเพื่อสอบ 在 "เรียนเพื่อสอบหรือสอบเพื่อเ... - 100 ปี ชาตกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ... 的推薦與評價
"เรียนเพื่อสอบหรือสอบเพื่อเรียน หรือเรียนเพื่อเรียน" ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดสำหรับคนหนุ่มสาว. ดาวโหลด Ebook : http://www.puey.in.th/… ... <看更多>