เรามักถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าให้ ประหยัด อดออม ถ้ามีเงินก็พยายามอย่าใช้จ่าย ซึ่งคำสอนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร แต่มันถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
.
เพราะถ้ามาลองดูตามความจริง ถ้าคุณไม่ได้ใช้เงินที่หามาได้เลย แล้วคุณจะมีเงินไปทำไม ถ้ามีแล้วเก็บมันไว้เป็นตัวเลขในสมุดบัญชีเฉยๆ จะมี หรือ ไม่มี มันก็คงไม่ต่างกัน เพราะนอกจากเงินจะไม่สามารถเพิ่มพูนขึ้นได้แล้ว (ถ้าไม่นับดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน) ยังถือเป็นการเสียโอกาสที่เงินจำนวนนั้นจะไปสร้างประโยชน์อื่นๆ ให้คุณอีกต่างหาก
.
ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ทุกคนออมเงินนะครับ แต่กำลังจะบอกว่าการออมเงินที่ไม่มีเป้าหมาย แค่ออมไปเรื่อยๆ มันไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เว้นเสียแต่คุณมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะออมเงินไปทำไม อย่างเช่น เพื่อเรียนต่อ เพื่อสร้างธุรกิจ เพื่อลงทุน เป็นต้น
.
ดังนั้น แทนที่จะมาสอนกันว่า “อย่าใช้เงิน” เรามาเปลี่ยนเป็นสอนให้ “ใช้เงินเป็น” จะดีกว่า
.
แล้วการ “ใช้เงินเป็น” ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร เดี๋ยวสมองไหลจะเล่าให้ฟัง...
.
1) ใช้เงินซื้อประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความสนใจ
.
มีงานวิจัยของแวน โบแว่น และทีมงาน นักจิตวิทยาสังคม ค้นพบว่า การใช้เงินซื้อประสบการณ์นั้นทำให้คนมีความสุขมากถึง 57 เปอร์เซ็นต์
.
หรือต่อให้ประสบการณ์นั้นอาจจะไม่ดีนัก เช่น ถ้าคุณไปเที่ยวรีสอร์ตแล้วถูกยกเลิกเที่ยวบินขากลับอย่างกะทันหัน แม้คุณจะต้องกลับบ้านช้ากว่าที่กำหนด และ ต้องอารมณ์ขุ่นมัว ณ ตอนนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำตอนที่คุณติดอยู่ที่สนามบินกับเพื่อน จะกลายเป็นเรื่องเล่าตลกๆ ในวงสนทนาของเราเสมอ
.
นั่นก็เพราะว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือความสัมพันธ์ หากเราไปดูผู้ป่วยที่กำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต เราจะพบว่าแทบไม่มีใครถามหาถึงกระเป๋าแบรนด์เนม รถหรู หรือ บ้านหลังใหญ่ มีแต่จะถามหาครอบครัว ลูกหลาน เพื่อนฝูง และ คนที่รัก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ของที่ให้ประสบการณ์กับเรานั้น มักจะมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์อยู่
.
อย่างไรก็ตาม มนุษย์มีสัญชาตญาณดิบที่ต้องการเป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น นั่นจึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการซื้อสิ่งของแพงๆ เพื่ออวดคนอื่นให้มองว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่า ซึ่งดูเหมือนจะมีความสุข แต่มันก็เป็นความสุขเพียงชั่วขณะเท่านั้น เพราะถ้าการซื้อสิ่งของนั้นทำให้คุณมีความสุขอย่างแท้จริง คุณจะมีความสุขกับมันแม้ว่ามันจะวางอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าคุณมีความสุขเฉพาะเวลาได้เอาสิ่งของออกไปโชว์คนอื่น นั่นแหละคือ สัญญาณ ว่าคุณกำลังใช้จ่ายเพื่อเรียกร้องความสนใจอยู่
.
เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอน Iphone 11 เปิดตัวใหม่ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไปซื้อมา เพราะโทรศัพท์เดิมที่ใช้อยู่นั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ เพราะใช้มานานมากๆ ซึ่งตอนนั้นผมก็ซื้อแค่ตัวเริ่มต้น ความจุ 128 GB เพราะคิดว่าเหมาะสมกับการใช้งานแล้ว ซึ่งผมก็ซื้อมาใช้งานตามปกติ
.
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ไม่นานหลังจากวันที่ผมซื้อมา ก็มีหัวหน้าที่ทำงานคนหนึ่ง ซื้อ Iphone 11 Pro max ความจุ ตัว Top สุดมา ซึ่งถ้าเขาซื้อมาใช้งานก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ประเด็นคือ ชอบเที่ยวถืออวดทุกคนทั้งออฟฟิศ แถมเดินมาบอกผมว่า “ทำไมไม่ซื้อ Iphone 11 Pro max วะ สวยกว่าเยอะ”
.
ผมก็ได้แต่ตอบกลับไปในใจว่า “เพื่อ...?”
.
ดังนั้น เมื่อไหร่ที่คุณคิดจะใช้จ่ายซื้อสินค้าราคาแพง ให้ถามตัวเองบ่อยๆ ว่า “ซื้อเพื่อตัวเอง” หรือ “เพื่อเรียกร้องความสนใจ” กันแน่
.
แต่สิ่งสำคัญกว่า คือ คุณควรเอาเงินไปซื้อประสบการณ์ โดยเฉพาะประสบการณ์ในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันสามารถนำมาสร้างรายได้ต่อได้อีก อย่างตัวผมชอบการเขียน เวลาไปท่องเที่ยวต่างประเทศผมก็จะนำความรู้ที่ได้มาเขียนเป็นซีรีย์ หรือ บางคนเก่งในเรื่องทำคลิปก็ไปทำยูทูบได้ ทำให้มีรายได้หลั่งไหลเข้ามา ต่างจากการซื้อเพื่อเรียกร้องความสนใจ เพราะนอกจากคนที่คุณไปอวดเขาจะไม่ได้ให้เงินคุณแล้ว มันยังทำให้เงินในกระเป๋าของคุณน้อยลงอีกด้วย
.
2) ซื้อของที่ “มูลค่า” มากกว่า “ราคา”
.
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า “มูลค่า” กับ “ราคา” เป็นคนละเรื่องกัน ของ “ราคาถูก” ไม่ได้หมายความว่า มูลค่าจะต่ำ” และของ “ราคาแพง” ก็ไม่ได้หมายความว่า “มูลค่าจะสูง” ตามไปด้วย
.
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ราคา คือ สิ่งที่คุณจ่ายเมื่อซื้อของบางอย่าง ส่วน มูลค่า คือ สิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อซื้อมันมา”
.
ความหมายคือ สมมติ คุณซื้อ Iphone ในราคา 30,000 บาท แต่คุณใช้มันแค่ 300 บาท ก็เท่ากับว่าคุณ “ขาดทุน” แต่ถ้าคุณซื้อ Iphone ในราคา 30,000 บาท แล้วสามารถเอามันไปทำเงินได้ 50,000 บาท แสดงว่าคุณได้กำไร 20,000 บาท
.
ทุกวันนี้ก่อนผมจะใช้จ่ายซื้อของอะไรมา ผมจะคิดเสมอว่า มันจะให้ “ผลตอบแทน” กลับมาได้ “มากกว่า” ที่จ่ายไปหรือเปล่า
.
ก่อนจะซื้อคอมพิวเตอร์ Macbook ผมก็คิดก่อนว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร แล้วสิ่งที่ทำนั้นให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ โดยผมเอามันมาใช้เขียนบทความ และ เขียนหนังสือ ซึ่งมันสร้างรายได้ได้ แล้วผมก็คิดต่อว่า แล้วรายได้นั้นจะคืนทุนภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ซึ่งพอคำนวณดูแล้วมันสามารถคืนทุนให้ผมได้ภายใน 1 เดือน ผมจึงตัดสินใจซื้อมาทันที ไม่ว่ามันจะแพงเท่าไหร่ก็ตาม
.
ทุกวันนี้ของทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่กล้อง ไฟจัดแสง โต๊ะ เก้าอี้ และอื่นๆ ก่อนผมจะจ่ายเงินออกไปทุกครั้ง ผมคิดก่อนเสมอว่า มันจะให้ “ผลตอบแทน” กลับมาได้ “มากกว่า” ที่จ่ายไปหรือเปล่า
.
ไม่ได้คิดว่ามันจะแพงแค่ไหน เพราะต่อให้มันแพง แต่ให้ผลตอบแทนมากกว่าที่จ่ายไปก็ถือว่า “คุ้ม” เพราะมันทำให้เงินในกระเป๋าเราเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อ “หนังสือ” ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าราคาแพง แต่สำหรับผมแล้วมันราคาถูกมาก เพราะหนังสือแต่ละเล่มให้ผลตอบแทนผมกลับมาได้เฉลี่ย 57 เท่า ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆ
.
แต่ถ้าเราไม่คิดแบบนี้เลย สุดท้ายเงินก็มีแต่จะไหลออกจากกระเป๋า และ ในห้องของเราก็จะเต็มไปด้วย “ขยะ” ที่เราซื้อมาโดยที่มันไม่สามารถสร้าง “มูลค่า” อะไรได้เลย
.
3) ใช้เพื่อพัฒนาทักษะ
.
เงิน ยิ่งใช้ยิ่ง “หดหาย” แต่ ทักษะ ยิ่งใช้ ยิ่ง “แหลมคม” ถ้าคุณชอบทำขนมก็ไปเรียนทำขนมเพิ่ม ถ้าชอบค้าขายก็ลองไปเรียนทักษะการขาย ชอบทำธุรกิจก็ลองไปเรียนเรื่องการวางกลยุทธ์ อย่างตัวผมชอบการเขียน และ ชอบทำให้การเขียนเป็นธุรกิจ ผมจึงไปเรียนการเขียน ธุรกิจ และ การตลาด เพิ่มอยู่ตลอด
.
หลายคนอาจจะพอใจกับจุดที่ยืนอยู๋ แต่อย่าลืมว่าคุณไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวในสนามแข่งขันนี้ เพราะยังมีคนอีกมากมายที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด คู่แข่งคุณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายการแข่งขันด้านราคาก็จะเกิดขึ้น
.
ทุกวันนี้ผมเห็นนักเขียนคอนเทนต์บ่นกันเอาเป็นเอาตายว่า โดนกดราคาจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน บางคนจ่ายกันที่ 300 คำ 30 บาท แล้วก็มาตั้งกระทู้บ่นกันในกลุ่มเต็มไปหมด
ผมดูแล้วอดปวดหัวไม่ได้ เพราะคุณจะไม่ถูกกดราคาได้ยังไง ในเมื่อคุณเขียนเหมือนๆ กับชาวบ้าน คือ ทำได้แค่เขียนข่าวทั่วไป
.
เพราะเอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของตลาดอยู่แล้ว ถ้าคุณทำอะไรแบบที่ใครๆ ทำได้ คุณก็ไม่มีอำนาจต่อรอง เพราะต่อให้ไม่มีคุณ เขาก็ไปจ้างคนอื่น แต่ถ้าคุณเขียนได้แบบที่คนอื่นทำไม่ได้ ถ้าเขาไม่จ้างคุณ เขาก็ไม่รู้จะไปจ้างใคร สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาหาคุณอยู่ดี แล้วคุณก็จะเป็นฝ่ายที่เรียกราคาเท่าไหร่ก็ได้
.
จำไว้ว่า การทำสิ่งที่ “เหมือน” กับคนอื่น ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ อย่าบ่นว่าโดน “กดค่าจ้าง” อย่าโทษใครว่าเขา “ตัดราคา” เพราะถ้าคุณทำเหมือนคนทั่วไป คุณก็จะได้ผลลัพธ์แบบคนทั่วไป แต่ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ที่ “มากกว่า” คนทั่วไป คุณก็ต้องทำสิ่งที่คนทั่วไปเขา “ไม่ทำ”
.
ถ้าคุณทำขนมก็ต้องมีสูตรพิเศษกว่าใคร ถ้าคุณขายสินค้าก็ต้องมีบริการที่ใครก็ทำแทนคุณไม่ได้ ถ้าคุณเก่งภาษาอังกฤษก็ไปฝึกภาษาเทคนิคเพิ่ม เช่น ภาษาอังกฤษธุรกิจ ภาษาอังกฤษวิจัย ภาษาอังกฤษกฎหมาย เป็นต้น
.
ฉะนั้น เอาเงินไปลงทุน กับทักษะของคุณซะ เพราะต่อให้คุณลงทุนไปมากแค่ไหน มันจะได้กลับมามากกว่าที่จ่ายไปแน่นอน
.
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า การใช้จ่ายเงินไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าคุณใช้เงินเป็น เพราะถ้าเราหาเงินมาแต่ไม่เอาออกมาใช้ประโยชน์ เงินก็ไม่ต่างอะไรกับกระดาษธรรมดาที่นอนอยู่ในธนาคาร
.
ฉะนั้น เรามาเปลี่ยนเงินให้เป็นกระดาษที่มีค่า ด้วยการปรับวิธีการใช้เงิน ด้วยเทคนิคจาก “หนังสือ เปลี่ยนความชอบให้เป็นเงิน” กันเถอะครับ
.
.
ราคา 295 บาท รวมส่ง
.
วิธีการสั่งซื้อ
,
1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_pkGgydNp
.
2.กด “สั่งซื้อ”
.
3.เลือกจำนวน และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,เผยภาพ All-New 2019 Mazda3 hatchback (มาสด้า3 แฮทช์แบ็ค) โฉมใหม่ล่าสุด ขณะวิ่งทดสอบ ในชุดพรางตัว ก่อนเปิดตัวในงาน LA Auto Show 2018 ก่อนที่จะมีการเปิ...
แหลมคม 在 อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก Facebook 的最讚貼文
Ready Player One เข้าฉายทาง Netflix แล้ว ขอบอกเลยว่าต้องดูเท่านั้น นี่เป็นหนังที่ต้องให้ 10/10 ให้น้อยกว่านี้ไม่ได้แน่นอน
.
หนังเข้าฉายเมื่อสองปีก่อน ตอนที่ฉายตื่นตาตื่นใจมากกกกก ดู imax ไป3รอบ ดูที่แอมบาสซี่อีก 1 รอบ อยากให้เมเจอร์เอากลับมาฉายมากกกกกก
.
เหมือนสปีลเบิร์กทำความฝันให้เป็นจริงด้วยการเอาอะไรต่อมิอะไรมาให้เราดูได้อย่างตื่นตาตื่นใจ ผมดูในโรงไปสี่ห้ารอบเลย ปลื้มมาก ไม่คิดว่าจะปลื้มหนังเกมส์เลย ตอนนี้ Netflix เอามาฉายให้ดูเลยเอารีวิวเก่ามีรีโพสให้อ่านครับ
ไม่มีสปอยล์ และขอย้ำว่ารอบเดียวไม่พอแน่นอน
.
คาดหวังน้อยมากกกกกกกกก เพราะเราไม่ใช่คนชอบดูหนังเกมส์ แล้วแอบคิดด้วยว่าสปีลเบิร์กจะทำหนังเกมส์ได้ยังไง และที่สำคัญมันสร้างมาจากนิยายที่ดังพอสมควรเลย แต่เอาเข้าจริงๆ มองซ้ายมองขวา ด้วยตัวหนังที่มันจำเป็นต้องรวมตัวจี๊ดๆในวัฒนธรรมป็อปคัลเจอร์ยุค 80-90 มามากขนาดนี้ ไม่มีใครมีบารมีเท่าสปีลเบิร์กแล้ว และที่สำคัญเราอยากจะบอกว่า เราโตมากับหนังของสปีลเบิร์กอย่างพวก ET อะไรพวกนี้ก่อนที่แกจะมาทำดราม่าสารพัด เราคิดถึงบรรยากาศหนังเด็ก หนังผจญภัยวัยรุ่นที่ดูแล้วมีความระลึกถึงวัยเด็กจนต้องหลั่งน้ำตา สปีลเบิร์กแกทำได้คมคาย จังหวะดี แหลมคม และทีสำคัญหนังมีความมันส์ กระฉับกระเฉง จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นหนังผู้กำกับรุ่นเก่าขนาดนี้ แกจะทำหนังได้ขนาดนี้
.
Ready Player One เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2045 เวด (น้องไท) พระเอกของเรื่องเกิดมาในสลัมย่านสุสานรถพ่วง เป็นแหล่งเสื่อมโทรม และในอนาคตปี 2045 โลกก็ขาดแคลนทรัพยากร ประชาชนอยู่กันอย่างแร้นแค้น การเอาตัวเข้าไปในเกมส์ทั้งวันทั้งคืนน่าจะเป็นการที่ทำให้ตัวเองได้ปลดปล่อยและมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่ในโลกความจริง ฮัลลิเดย์ คือผู้สร้างเกมส์และสร้างโลกเสมือนจริงที่ชื่อว่า Oasis ขึ้นมา ทำให้ประชากรโลกนับร้อยล้านพันล้านเข้าไปอยู่ในนั้น แต่เค้าเกิดตายกระทันหัน และได้มอบมรดกเอาไว้ให้กับคนที่สามารถเข้าไปหาอีสเตอร์เอ้กในโอเอซิส ที่ต้องผ่านด่านสามด่านเพื่อเอากุญแจสามดอกไปไขออกมา โดยผู้ที่หาอีสเตอร์เอ้กพบจะได้มรดกคือสิทธิในเกมส์โอเอซิสของเค้ามูลค่านับแสนล้าน แน่นอนว่า เวดหรือพระเอกของเราคือคนที่น่าจะต้องเก่งที่สุด และเค้าคือคนที่หากุญแจดอกแรกพบ เลยถูกเซอเรนโตเจ้าของบริษัทที่ลงทุนจ้างคนจำนวนมากมาเล่นเกมส์เพื่อชิงกุญแจตามล่า นั่นจึงเป็นที่มาของหนังที่โคตรสนุก
.
สำหรับใครที่กลัวว่าเข้าไปดูหนังเกมส์แล้วจะงง บอกเลยว่า ไม่งงแน่นอน เพราะหนังแบ่งสัดส่วนโลกของเกมส์กับโลกมนุษย์ปกติเอาไว้ได้ลงตัว ที่สำคัญโลกในเกมส์โอเอซิสนั้นเต็มไปด้วยหุ่นยนต์และสัตว์ประหลาด ตลอดจนปีศาจตัวเจ๋งๆ ซึ่งใครที่เกิดมาในยุค 80-90 จะทันหมด เพราะมันเป็นวัฒนธรรมป็อปคัลเจอร์ในช่วงนั้นจริงๆไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ Iron Giant , หุ่นยนต์กันดั้ม , ก็อตซิล่า , ชักกี้ , นินจาเหล็ก , ไดโนเสาร์ , batman หรือแม้แต่ปีศาจในหนัง The Shining ของสตีเฟ่นคิง เอาเป็นว่าถ้าใครเป็นเนิร์ดหนัง คุณจะกรี๊ดดดกระทืบเท้าในโรงด้วยความสะใจ นอกจากนี้บรรยากาศของหนังยังเต็มไปด้วยเพลงยุค 90 ที่เด่นๆคือ i hate myself for loving you และอีกหลายเพลงที่ฮัมๆได้แต่จำชื่อเพลงไม่ได้
.
นอกจากนี้ฉากแอ๊คชั่นในเกมส์โดยเฉพาะเกมส์แข่งรถต้นเรื่องนี่คือสนุกฉิบหาย ปังมากกกก ไล่ล่ากันทั้งคิงคอง ไดโนเสาร์ หรือระเบิดตูมตาม ภาพสามมิติในหนังทะลุมากกกก พุ่งมากกกกก ระบบเสียงโคตรกระหึ่ม นี่ขออวยระบบโรง Imax ที่เอมควอเทียร์เลย ของมันดีจริง นี่คือเบาะสั่นมากกกกกก ภาพสามมิติสวยมากกกกก สวยจริงๆ รวมไปถึงดนตรีประกอบคือโคตรจะดีเลย ธีมมันเข้ากับหนังเร้าอารมณ์โคตรๆ ขอบอกว่าหนังจบคือแทบนอนตายคาเบาะด้วยความฟิน!!!!!
.
หุ่นยนต์ สัตว์ประหลาด ปีศาจมาแบบจัดเต็ม อัดแน่น และโคตรดี โคตรมันส์ เอาเป็นว่าแค่เห็นอี Iron Giant กับกันดั้มก็น้ำตาซึม นั่งปรบมือและกรี๊ดดดหนักมากก (เสียงกรี๊ดในโรงน่ะกูเอง) และพาร์ทดราม่านี่สปีลเบิร์กยังทำได้สวยงามไม่แพ้เมื่อ20-30ปีก่อนจริงๆ นี่คือหนังสปีลเบิร์กที่เรารอคอยจริงๆครับ สปีลเบิร์กคือพ่อมดฮอลลีวู๊ดที่แท้ทรู!!!
.
ส่วนบทนี่ขอบอกว่ามันคือหนังเกมส์ที่ไม่ทอดทิ้งคนดูที่ไม่ค่อยอินกับเกมส์เท่าไหร่ คนไม่บ้าเกมส์ ไม่เนิร์ดเกมส์ก็ดูได้ และดูสนุกด้วย เพราะตัวหนังเองก็มุ่งเน้นไปให้คนกลับเข้าวู่โลกความจริงมากกว่าการเข้าไปอยู่ในเกมส์ด้วย อารมณ์ขันก็มาเต็ม ถูกที่ถูกเวลา
.
นักแสดงโดยเฉพาะน้องไท นี่น่ารักมากกกกกกกก ทุกตัวนี่แคสมาเป้ะมาก มันมีการยั่วล้อคนในเกมส์ที่ว่าด้วยเรื่องของบุคลิกในเกมส์กับตัวจริง ที่เราอาจจะเจอใครก็ไม่รู้
.
สรุปนะครับ เชียร์ฉิบหาย เชียร์ขาดใจ ให้ไปดูเรื่องนี้ ทุนทรัพย์มีเท่าไหร่อัดไปเลย ระบบไหนดีที่สุด เสียตังเท่าไหร่ถ้าไม่เดือดร้อนใครอัดไปเลย แต่เอาจริงๆ Imax3D นี่ดีงามสุดๆ เชียร์นะครับ ให้ 10/10 เอาไปเลย รักหนังเรื่องนี้มากกกกก ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมากกกที่ต้องกลับไปซ้ำแน่นอน
ป.ล มั่นใจว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังในตำนานของคนเนิร์ดหนัง เนิร์ดเกมส์ เนิร์ดหุ่นยนต์ ไปอีกนานชั่วลูกชั่วหลาน
แหลมคม 在 Roundfinger Facebook 的最讚貼文
1
"ทำอย่างไรจึงจะรักษาความอยากเรียนรู้เอาไว้ได้ครับ" ผมเอ่ยปากถามผู้บริหารใหญ่วัยห้าสิบกว่าซึ่งใช้เวลาสองชั่วโมงต่อสัปดาห์ไปกับการเรียนเขียนหนังสือ ลงเรียนคอร์สต่างๆ อยู่เสมอ รวมถึงฝึกปรือวิ่งโดยมีโค้ชคอยแนะวิธีพัฒนาการวิ่งแบบใกล้ชิด ไม่บ่อยนักที่จะพบคนระดับผู้บริหารอาวุโสซึ่งเก่ง แหลมคม และประสบความสำเร็จเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ โดยเฉพาะจากคนที่เด็กกว่า
2
พี่วู้ดดี้-ธนพล ศิริธนชัยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "ผมอยากรู้ในสิ่งที่ผมไม่รู้" ผมถามต่อ "แต่มันไม่ง่ายที่คนโตๆ แล้วจะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ยิ่งเป็นคนที่เป็นหัวหน้า คนที่มีอำนาจ" พี่วู้ดดี้ยิ้มแล้วบอกว่า "ต้องหัดพูดบ่อยๆ จะพูดว่า 'ผมไม่รู้' ครั้งแรกมันอาจจะยาก แต่พอพูดบ่อยๆ แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เราจะไม่รู้"
3
"ผมไม่รู้" นี่แหละคือประตูทางเข้าของความรู้ สาเหตุที่เราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่เพราะเรามักด่วนบอกตัวเองหรือคนอื่นอยู่เสมอว่า "รู้แล้วน่า" พอรู้แล้วก็เลยอดรู้เพิ่ม จบอยู่ในกะลาความคิดแคบๆ ใบเดิมของตัวเอง "ผมไม่รู้ / ฉันไม่รู้" ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา คนที่รู้จะยินดีบอกวิชาให้เราได้รู้ ทันใดน้ันปัญญาก็งอยเงย
4
เวลาสนทนากับผู้คน เพียงฟังไม่กี่ประโยคเราก็รู้ทันทีว่าคนตรงหน้ายังเรียนรู้อยู่หรือ 'จบการศึกษา' ไปแล้ว เรื่องตลกก็คือคนที่ตั้งใจฟังเหมือนไม่ค่อยรู้อะไรมักเป็นคนฉลาด เพราะทุกครั้งที่สนทนาเขาจะได้ความรู้ใหม่อยู่เสมอ ขณะที่คนซึ่งดูฉลาดพูดเยอะแต่ไม่ค่อยฟังใครมักจบการสนทนาไปด้วยความรู้เท่าเดิม
5
คนโง่จึงฉลาดขึ้น และคนฉลาดมักจะโง่ลง
6
ชุนริว ซูซูกิ ปรมาจารย์เซนเรียกจิตใจที่เปิดกว้างโดยไม่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองรู้แล้วว่า 'จิตของผู้เริ่มต้น' หรือ 'beginner's mind' อาจลองคิดถึงสภาพจิตใจของเด็กน้อยที่มองเห็นโมเมนต์ถัดไปเป็นสิ่งใหม่เสมอ สวยงาม สดใหม่ น่าตื่นเต้น เห็นสิ่งต่างๆ ด้วยดวงตาบริสุทธิ์ ไม่ตัดสินด้วยความรู้เดิมที่สะสมไว้จากประสบการณ์ส่วนตัว ทุกสิ่งจึงน่าสนุกและน่าเรียนรู้ไปหมด
7
จิตของผู้เริ่มต้นจะไม่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ แต่ตระหนักเสมอถึงความรู้น้อยของตน รู้อยู่เสมอว่ายังมีอะไรอีกมากในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ลี้ลับที่เรายังไม่ล่วงรู้ Seung Sahn ปรมาจารย์เซนชาวเกาหลีสอนให้ตระหนักถึงคุณค่าของสภาพจิตเช่นนี้โดยเรียกว่า 'จิตไม่รู้' หรือ 'don't know mind'
8
เมื่อท่านถามลูกศิษย์ว่า "ความรักคืออะไร" "สติคืออะไร" "ชีวิตมาจากไหน" "พรุ่งนี้จะเป็นยังไง" ลูกศิษย์ตอบว่า "ผมไม่รู้ครับ" ท่านอาจารย์จะตอบว่า "ดีมาก รักษาจิตไม่รู้นี้ไว้ เพราะมันเป็นจิตที่เปิดกว้าง และบริสุทธิ์"
9
จิตของผู้เริ่มต้น จิตไม่รู้ เป็นเรื่องเดียวกับจิตที่ไม่มีอัตตา เมื่อไม่มีอัตตาจึงเปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้ประสบการณ์และบทเรียนใหม่ที่ชีวิตหรือผู้คนจะมอบให้
10
ไม่เพียงความรู้ ทักษะในเรื่องต่างๆ หรือความลี้ลับของจักรวาลนี้เท่านั้น กระทั่งคนใกล้ตัวเราที่สุดอย่างพ่อแม่ พี่น้อง คนรัก ลูก หรือเพื่อน สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเขาอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เรายังไม่รู้เรื่องราวอีกมากที่ซ่อนอยู่ภายในใจ บาดแผลที่เราไม่เห็นและเขายังไม่เคยเล่าให้ฟัง ความรู้สึกลึกๆ ที่เขาเก็บไว้ส่วนตัว ประสบการณ์วัยเด็กที่ผ่านเรื่องร้ายใดๆ มา แต่เรามักตัดสินหรือสัมพันธ์กับผู้คนใกล้ชิดด้วยความคิดว่า "ฉันรู้จักเธอดี" โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือการใช้มุมมองของเราที่มีต่อเขาไปตัดสิน ควบคุม บงการ โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
11
เมื่อบอกว่า "ฉันรู้จักเธอดี" แปลว่าเราปิดโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งที่เขาเป็นให้มากกว่าเดิม เรามองเขาด้วยแว่นตาของเรา แต่เขาอาจมีแง่มุมอื่นอีกมากที่เรายังไม่เคยมองหรือรับรู้มาก่อน
12
จิตของผู้เริ่มต้นอาจเปิดโอกาสให้เราทำความรู้จักเขาราวกับเพิ่งได้พบกันครั้งแรก เมื่ออัตตาเล็กลง เราจะรับฟังเขามากขึ้น ปล่อยให้เขาเป็นอย่างที่เป็นมากขึ้น ทำความเข้าใจมากขึ้น
13
อันตรายของความสัมพันธ์ใกล้ชิดคือ เราคิดว่าเรารู้ทุกอย่าง และนั่นอาจเป็นกำแพงขนาดยักษ์ทำให้เราไม่ได้รู้อะไรใหม่เลย ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่าน ตัวเขาอาจเปลี่ยนไปจากที่เราเคยรู้จักไปมากแล้วก็เป็นได้
14
เราสามารถใช้จิตของผู้เริ่มต้นหรือจิตไม่รู้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนได้เช่นเดียวกับเรื่องอื่น เคลียร์ความรู้เก่าที่มาพร้อมอัตตาออก อยู่กับคนตรงหน้าอย่างเปิดกว้าง รับฟัง เรียนรู้สิ่งใหม่จากเขา ในช่วงเวลาที่เราเรียนรู้กันและกันอย่างเปิดใจ ภายในของเราจะเติบโตไปพร้อมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เติบโตงอกงาม
15
'ความรู้' เมื่ออยู่ติดตัวนานๆ จะกลายร่างเป็น 'ความคิดเห็น' โดยไม่รู้ตัว เราใช้ 'ความคิดเห็น' ไปตัดสินเรื่องราวและผู้คนโดยนึกว่าเป็น 'ความรู้' ปัญหาคือโลกยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมาก เมื่อใช้ความรู้เดิมไปปฏิสัมพันธ์กับทุกอย่างโดยไม่เปิดใจจึงนำมาซึ่งทุกข์ เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เรารู้คือ 'ถูก' เมื่อคนอื่นรู้ไม่ตรงกันเขาจึง 'ผิด'
16
'ความรู้' แบบนี้ปิดโอกาสเรียนรู้ และนำมาซึ่ง 'ความทุกข์' ความรู้ที่ดีควรนำมาซึ่งความสุข ความรู้ที่ดีควรขยายขนาดหัวใจมากกว่าหดมันให้แคบลง นั่นหมายความว่า--รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้
17
เปิดใจกว้างๆ พร้อมรับทุกสิ่งที่เข้ามามอบ 'ความเข้าใจใหม่' โดยไม่ยึดติดกับ 'ความรู้เก่า'
18
อาจารย์ชาเคยยิ้มแล้วบอกกับลูกศิษย์ว่า "เธอมีความคิดเห็นเต็มไปหมด และก็เป็นทุกข์หนักจากความคิดเห็นพวกนั้น ทำไมไม่ปล่อยมันไปบ้าง"
19
ยากที่เราจะยอมรับว่าเราไม่รู้ แต่ถ้าฝึกยอมรับบ่อยๆ ว่า "ฉันไม่รู้" พูดออกมาให้ตัวเองได้ยิน ให้คนอื่นได้ยิน แทนที่จะแสดงความโง่ เปล่าเลย, คำนี้เหมือนคาถาที่เพียงเอ่ยออกมาก็ลดอัตตาไปได้มากมาย
20
เช่นนี้จึงไม่ควรเรียกคนที่ไม่รู้ว่าคนโง่ เพราะคนทุกข์น้อยย่อมไม่โง่ และคนที่เอ่ยคาถานี้บ่อยๆ ย่อมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
21
การเรียนรู้ที่ดีมิได้ทำให้เราฉลาดกว่าคนอื่น แต่มันทำให้เราเข้าใจคนอื่นหรือสิ่งอื่นมากขึ้น ยิ่งรู้ยิ่งตัวเล็กลง ยิ่งตัวเล็กลงยิ่งใจกว้าง ยิ่งใจกว้างก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นไปอีก ยิ่งเรียนรู้มากขึ้นไปอีกก็ยิ่งเติบโต
มิได้เติบโตเพื่อฉลาดกว่าใคร
แต่เติบโตภายในเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
22
"ทำอย่างไรจึงจะรักษาความอยากเรียนรู้เอาไว้ได้"
"ผมไม่รู้"
แหลมคม 在 CarDebuts Youtube 的最佳貼文
เผยภาพ All-New 2019 Mazda3 hatchback (มาสด้า3 แฮทช์แบ็ค) โฉมใหม่ล่าสุด ขณะวิ่งทดสอบ ในชุดพรางตัว ก่อนเปิดตัวในงาน LA Auto Show 2018
ก่อนที่จะมีการเปิตตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน LA Auto Show 2018 ในปลายเดือนนี้ และเตรียมเปิดตัวในเมืองไทยในปีหน้า ล่าสุดก็มีภาพ spyshot ของ All-new Mazda3 hatchback รุ่นปี 2019 จากทีมงานพันธมิตรของ CarDebuts ในต่างประะเทศ ที่สามารถเก็บภาพของ Mazda3 hatchback ในชุดพรางตัว และภาพถ่ายภายในห้องโดยสารได้ ขณะวิ่งทดสอบในยุโรป
ผู้ที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับรถรุ่นนี้ จะทราบว่า All-New Mazda3 ได้รับอิทธิพลในด้านดีไซน์มาจากรถต้นแบบอย่าง KAI Concept และจากภาพ spyshot ชุดแรกนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ดีไซน์และเส้นสายของ Mazda3 ตัวจริง ก็ไม่หนีไปจาก KAI Concept มากนัก รวมถึงห้องโดยสารภายในที่ดูเรียบหรู
ตัวถังภายนอกของ Mazda3 ใหม่ มาพร้อมเส้นสายที่มีความโค้งมน เรียบง่าย ไฟหน้าดูเรียวเล็ก แหลมคม ฝากระโปรงหน้าโป่งนูนขึ้นจากด้านข้าง อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่กระจังหน้ารูป 7 เหลี่ยม ยังคงดีไซน์ในแบบ Mazda แต่ส่วนปลายทั้งสองข้าง เชื่อมโยงเข้าสู่โคมไฟหน้าจนเป็นชิ้นเดียวกัน มากกว่าโฉมปัจจุบัน
ด้านข้างของ Mazda3 hatchback ใหม่ ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณเสา c pillar ที่ลู่ลมไปทางด้านหลัง และมีความโค้งมนตามที่เห็นในรถต้นแบบ สปอยเลอร์ท้ายหลังคาเพิ่มความสปอร์ตให้กับรถรุ่นนี้มากขึ้น ล้ออัลลอยสีดำ เป็นแบบ 10 ก้าน
บั้นท้ายของ mazda3 ใหม่ ที่คาดว่าจะเป็นไฮไลต์ของรถรุ่นนี้ โดดเด่นด้วยกรอบไฟท้ายที่เรียวเล็กในสไตล์เดียวกันกับกรอบไฟหน้า