-- หนังสงครามก่อน 1917 เขาเล่าเรื่องอะไรกันมาบ้าง (PART 1) --
ยังคงคิดว่า 1917 เป็นหนังที่เจ๋งมาก ๆ อยู่ดี สำหรับการทำหนังสงครามเปลี่ยนฟอร์มมาทดลองเล่าเชิงภารกิจเพื่อโชว์ความมหัศจรรย์ของการดูหนังในโรงยุคปัจจุบัน แต่วันนี้จะขอพาย้อนไปดูประวัติศาสตร์หนังสงครามที่ประสบความสำเร็จในอดีตนั้นพูดถึงอะไรกันมาบ้าง
ในยุคหนึ่งที่หนังสงครามจะต้องมีประเด็นสักอย่างให้จับต้องได้แน่น ๆ อย่างเช่น All Quiet on the Western Front (1930) ถ้ามองในปีที่สร้างมันเจ๋งมาก เพราะสมัยนั้นคนมีอิทธิพล อย่างเช่นอาจารย์หรือสื่อไม่กี่ช่องทางที่ถูกควบคุมล้วนโฆษณาชวนเชื่อให้สมัครเป็นทหาร ได้ออกรบจะดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่หนังก็พาไปดูว่าสงครามไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดแล้วมันก็ค่อย ๆ ทำลายตัวเรา ในยุคที่หนังต่อต้านสงครามยังไม่มากการได้เห็นเรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
.
หรือพอช่วงยุค 40's จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 มันก็เริ่มมีหนังที่สร้างมาอ้างอิงสงครามโลก ที่ได้รับการยกย่องภายหลัง เช่น Rome, Open City (1945) เป็นหนังอิตาลี่เล่าเรื่องชีวิตของกลุ่มใต้ดินที่ต่อต้านนาซี ซึ่งอิตาลี่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพันธมิตรกับนาซี ดังนั้นกรุงโรมจึงถูกจัดว่าเป็น เมืองเปิด ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทิ้งระเบิดหรือถูกนาซีฆ่า เพียงแต่พวกเขาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารนาซีที่ประกาศเคอร์ฟิว, อาหารก็มีการแบ่งปันส่วน แล้วพวกนาซีเขาก็จะคอยสอดส่องหากลุ่มชาวอิตาเลี่ยนที่ต่อต้านนาซีด้วย ซึ่งหนังมันก็ทำออกมายกย่องเชิดชูการต่อสู้ใต้ดินของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการตกอยู่ใต้อำนาจของชนชาติอื่นบนแผ่นดินตัวเอง
.
ในปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งอเมริกันยังมีหนังดีมาก ๆ อีกเรื่องคือ The Best Years of Our Lives (1946) ชนะ 7 รางวัลออสการ์ รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังเล่าถึงชีวิตทหารผ่านศึก 3 คนที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอเมริกัน ซึ่งพวกเขาพบว่าตัวเองต้องปรับตัวอย่างมาก คนแรกเป็นทหารผ่านศึกยศผู้กอง ได้รับคำชมเชยถึงความกล้าหาญในสงคราม เขาเคยมีรายได้เดือนละ 400 เหรียญจากการทำหน้าที่รับใช้กองทัพ แต่เมื่อกลับมายังเมืองที่เขาเคยอยู่ก็ต้องพบว่าตัวเองก็เป็นแค่อดีตเด็กบาร์กดน้ำที่ทำงานให้ตายยังไงก็ได้แค่เดือนละ 120 เหรียญ และคุณสมบัติต่าง ๆ ในสงครามของเขามันไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตปกติได้เลย
.
คนต่อมาเป็นทหารผ่านศึกยศแค่สิบเอก ในกองทัพเขาอาจจะเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยแต่เมื่อหมดภาระทางทหารแล้วเขาคือนายธนาคารที่กำลังจะได้เลื่อนขั้น กลับมามีความเป็นอยู่สุขสบาย มีครอบครัวอบอุ่นในแบบที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน ปัญหาเดียวของเขาคือความเห็นอกเห็นใจทหารผ่านศึกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ โดยเขาเลือกจะเสี่ยงกับความมุ่งมั่นด้วยความเชื่อส่วนตัวมากกว่าจะยึดถือกฎระเบียบและหลักการปล่อยเงินกู้
.
และคนสุดท้ายทหารผ่านศึกซึ่งพิการแขนทั้งสองข้าง(นักแสดงพิการจริง) การกลับมาอยู่บ้านของเขาทำให้ต้องเผชิญกับความสงสารจากคนรอบข้าง ซึ่งเขาต้องการให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนปกติ นอกจากนี้ยังมีคู่หมั้นที่เขาพยายามสลัดเธอทิ้งเพราะไม่อยากให้เธอต้องมาลำบากในการดูแลคนพิการอย่างเขา ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่พูดถึงโลกของทหารหลังสงคราม
.
นอกนั้นในช่วงยุค 40's ก็มีหนังเกี่ยวพันกับนาซีที่น่าสนใจเช่น Night Train to Munich (1940) เล่าเรื่องสายลับอังกฤษปลอมตัวเป็นนายพลนาซีวางแผนช่วยเหลือนักประดิษฐ์อาวุธและลูกสาวที่ถูกลักพาตัวหลบหนีออกจากเยอรมัน ซึ่งหนังเต็มไปด้วยฉากจับผิดหาคนต่อต้านนาซีอารมณ์แบบ Inglourious Basterds มันจะมีฉากแบบผิวปากเป็นโทนเสียงดนตรีอังกฤษ แล้วถูกบริกรจับได้เพราะเพิ่งฟังวิทยุต่างชาติมา พระเอกของเราก็รีบโมโหเลี่ยงพิรุธใส่อีกฝ่ายว่าการแอบฟังวิทยุต่างชาติเป็นความผิด ทำให้บริกรเป็นฝ่ายเดินหน้าจ๋อยออกไปเพราะโดนจับได้ว่าฟังสื่อต่างชาติ
.
อีกเรื่องที่โด่งดังมาก ๆ ก็ Casablanca (1942) ภายใต้ความเป็นหนังโรแมนติกในสงครามสุดประทับใจของชาวอเมริกันที่อดีตเคยเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ที่กลายมาเป็นเจ้าของไนท์คลับที่โด่งดังที่สุดในคาซาบลังก้า มันยังแฝงการต่อต้านนาซีอย่างชัดเจน โดยใช้ตัวกลางเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แน่นอนว่าหนังมีนัยยะทางการเมืองเพราะถูกสร้างหลังเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นนำเครื่องบินรบถล่ม Pearl Harbor เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1941 ทีมอ่านบทของ Warner Bros. จึงรีบผลักดันให้มันถูกทำเป็นหนังด้วยเหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ที่จะทำหนังเพื่อปลุกสำนึกความรักแผ่นดิน แต่มันก็เป็นหนังปลุกสำนึกที่คุณภาพยอดเยี่ยมตลอดกาล
.
ในยุคนั้นยังมีหนังเกี่ยวพันกับสงครามขึ้นหิ้งของฮิตช์ค็อกคือ Lifeboat (1944) เล่าเรื่องผู้โดยสารบนเรือชูชีพ โดยหนึ่งในนั้นคือกัปตันเรือนาซี เป็นหนังวิพากษ์มนุษยธรรมที่โจมตีนาซีอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าใครเคยดู Foreign Correspondent (1940) หนังสายลับของฮิตช์ค็อกก็น่าจะไม่แปลกใจจุดยืนทางการเมืองต่อสงครามของเขา พล็อตว่าด้วยช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้น บก.ของนสพ. New York Globe เริ่มกังวลถึงอิทธิพลของพรรคนาซีและฮิตเลอร์ จึงส่งนักข่าวภาคสนามเดินทางไปหาข่าวในยุโรปว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นอเมริกายังไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ส่วนฮิตช์ค็อกก็เพิ่งย้ายจากอังกฤษมาอเมริกา แต่มีฉากถามหาความช่วยเหลือจากกองทัพอากาศอเมริกาด้วย ฉากจบเป็นปราศรัยของพระเอกที่เป็นนักข่าวออกอากาศจากอังกฤษถึงประชาชนในอเมริกา
.
อารมณ์คล้าย The Great Dictator (1940) ของชาร์ลีย์ แชปลิน หนังแสดงจุดยืนต่อต้านสงครามและการกระทำของฮิตเลอร์ต่อชาวยิวในยุโรป ซึ่งตอนท้ายหนังมีสปีชเรียกร้องสันติภาพให้เกิดขึ้น หลายข้อความเป็นคำพูดที่ดีมาก เช่นการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องบินหรือวิทยุไม่ใช่เพื่อสำหรับเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน โลกนี้ยังมีที่ว่างและอาหารพอสำหรับทุกคน เรียกร้องให้ทหารเลิกเป็นทาสผู้นำแต่ให้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
.
ช่วงยุค 50's หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเกิน 5 ปี ยังมีหนังสงครามที่น่าสนใจอยู่พอสมควร หนึ่งในนั้นคือ Paths of Glory (1957) ของสแตนลีย์ คูบริค ความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ที่การกะเทาะเปลือกทหารระดับสูง นั่นคือฝรั่งเศสไม่สามารถบุกข้ามแนวรั้วลวดหนามของเยอรมันไปได้ ทหารกองหนุนไม่ออกจากหลุมเพลาะ บางส่วนวิ่นหนีกลับมา ทำให้นายพลโกรธมากถึงขนาดสั่งผู้บังคับการปืนใหญ่ให้ยิงหลุมเพลาะฝั่งตัวเอง สุดท้ายก็มีการเจรจาเพื่อจะประหารชีวิตให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยให้นายกองทั้งสามกอง เลือกตัวแทนมากองละหนึ่งคนเพื่อประหารชีวิตในข้อหาแสดงความขลาดต่อศัตรู คนหนึ่งถูกเลือกเพราะรู้ความลับนายกอง คนหนึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญสองเหรียญจากการรบครั้งก่อน ๆ แต่จับสลากถูกเลือกเป็นตัวแทนกอง และอีกคนถูกเลือกเพียงเพราะท่าทางเข้ากับสังคมได้ยาก ทั้งสามคนจะต้องขึ้นให้การในศาลทหารโดยมีผู้การของเขาเป็นทนายต่อสู้
.
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Stalag 17 (1953) เป็นหนังที่ถูกนับว่าเกี่ยวกับค่ายเชลยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องแรก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ฉายวงกว้าง ผลงานกำกับโดย บิลลี่ ไวล์เดอร์ เปรี้ยวขนาดว่าทำหนังในค่ายเชลยออกมาเป็นคอมเมดี้ (ค่ายเชลยสงครามจะไม่เหมือนค่ายกักกันนะ) หนังมันเล่าถึงเชลยสงคราม 2 คนแหกคุกหนีออกไปไม่ทันพ้นค่ายก็ถูกทหารเยอรมันดักรอยิงเสียชีวิต ทำให้คนในค่ายพักเกิดความสงสัยว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้ปนอยู่ด้วยแน่ ๆ ครึ่งเรื่องหาหนอน ครึ่งหลังเจอหนอนปุ๊บหาทางเอาคืน เรื่องนี้ในทางประวัติศาสตร์หนังก็ถือว่ามีความสำคัญอยู่มากทีเดียว
.
นอกนั้นก็มี The Bridge on the River Kwai (1957) ของเดวิด ลีน ว่าด้วยผู้บัญชาการทหารฝั่งอังกฤษตกเป็นเชลยสงครามของฝั่งญี่ปุ่น ถูกจับมาเป็นแรงงานสร้างสะพานในค่ายของผู้การญี่ปุ่น กับอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ The African Queen (1951) ที่เอาสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นพื้นหลังให้หนังผจญภัยล่องแม่น้ำในทวีปแอฟริกา ถ่ายทำที่ทวีปแอฟริกาจริง ๆ เรื่องนี้ระหว่างล่องเรือก็ต้องเจอทั้งอุปสรรคทางธรรมชาติ เช่น ดงต้นกกที่ต้องถางทางลากเรือฝ่าดง, น้ำตกน้ำเชี่ยว ไหนจะยังต้องเจอพวกเยอรมันระหว่างทางอีก สนุกและดีมาก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ From Here to Eternity (1953) หนังชนะ 8 รางวัลออสการ์ บอกเล่าเรื่องราวของทหารในกองทัพแห่งหนึ่งบนเกาะฮาวายก่อนถูกญี่ปุ่นโจมตี คือทั้งเรื่องมันพูดถึงความรักความขัดแย้ง แล้วฉากตอนท้ายมาปิดด้วยเครื่องบินญี่ปุ่นบินถล่มกองทัพอเมริกา แต่ก็มีฉากแนว ๆ รวมใจสู้ปลุกความฮึกเหิม ซึ่งถ้ามองตามปีที่สร้างก็ไม่ได้จำเป็นเท่าไร
-------
เดี๋ยวลงพาร์ท 2 ต่อนะครับ
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過17萬的網紅Matt's 電玩之夜 Game Night,也在其Youtube影片中提到,Mattㄟ粉絲專頁 ► https://goo.gl/e148I4 -------------------- 想加入一起玩?► PS4ID: MattHuang850813 (如果我在線上可以直接加進來,時間沒有固定) -------------------- Mattㄟ實況 《戰地風雲1》你不能不...
「all quiet on the western front」的推薦目錄:
all quiet on the western front 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳貼文
-\-\ หนังสงครามก่อน 1917 เขาเล่าเรื่องอะไรกันมาบ้าง (PART 1) -\-\
ยังคงคิดว่า 1917 เป็นหนังที่เจ๋งมาก ๆ อยู่ดี สำหรับการทำหนังสงครามเปลี่ยนฟอร์มมาทดลองเล่าเชิงภารกิจเพื่อโชว์ความมหัศจรรย์ของการดูหนังในโรงยุคปัจจุบัน แต่วันนี้จะขอพาย้อนไปดูประวัติศาสตร์หนังสงครามที่ประสบความสำเร็จในอดีตนั้นพูดถึงอะไรกันมาบ้าง
ในยุคหนึ่งที่หนังสงครามจะต้องมีประเด็นสักอย่างให้จับต้องได้แน่น ๆ อย่างเช่น All Quiet on the Western Front (1930) ถ้ามองในปีที่สร้างมันเจ๋งมาก เพราะสมัยนั้นคนมีอิทธิพล อย่างเช่นอาจารย์หรือสื่อไม่กี่ช่องทางที่ถูกควบคุมล้วนโฆษณาชวนเชื่อให้สมัครเป็นทหาร ได้ออกรบจะดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่หนังก็พาไปดูว่าสงครามไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดแล้วมันก็ค่อย ๆ ทำลายตัวเรา ในยุคที่หนังต่อต้านสงครามยังไม่มากการได้เห็นเรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
.
หรือพอช่วงยุค 40's จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 มันก็เริ่มมีหนังที่สร้างมาอ้างอิงสงครามโลก ที่ได้รับการยกย่องภายหลัง เช่น Rome, Open City (1945) เป็นหนังอิตาลี่เล่าเรื่องชีวิตของกลุ่มใต้ดินที่ต่อต้านนาซี ซึ่งอิตาลี่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพันธมิตรกับนาซี ดังนั้นกรุงโรมจึงถูกจัดว่าเป็น เมืองเปิด ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทิ้งระเบิดหรือถูกนาซีฆ่า เพียงแต่พวกเขาต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารนาซีที่ประกาศเคอร์ฟิว, อาหารก็มีการแบ่งปันส่วน แล้วพวกนาซีเขาก็จะคอยสอดส่องหากลุ่มชาวอิตาเลี่ยนที่ต่อต้านนาซีด้วย ซึ่งหนังมันก็ทำออกมายกย่องเชิดชูการต่อสู้ใต้ดินของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการตกอยู่ใต้อำนาจของชนชาติอื่นบนแผ่นดินตัวเอง
.
ในปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งอเมริกันยังมีหนังดีมาก ๆ อีกเรื่องคือ The Best Years of Our Lives (1946) ชนะ 7 รางวัลออสการ์ รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หนังเล่าถึงชีวิตทหารผ่านศึก 3 คนที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในสังคมอเมริกัน ซึ่งพวกเขาพบว่าตัวเองต้องปรับตัวอย่างมาก คนแรกเป็นทหารผ่านศึกยศผู้กอง ได้รับคำชมเชยถึงความกล้าหาญในสงคราม เขาเคยมีรายได้เดือนละ 400 เหรียญจากการทำหน้าที่รับใช้กองทัพ แต่เมื่อกลับมายังเมืองที่เขาเคยอยู่ก็ต้องพบว่าตัวเองก็เป็นแค่อดีตเด็กบาร์กดน้ำที่ทำงานให้ตายยังไงก็ได้แค่เดือนละ 120 เหรียญ และคุณสมบัติต่าง ๆ ในสงครามของเขามันไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตปกติได้เลย
.
คนต่อมาเป็นทหารผ่านศึกยศแค่สิบเอก ในกองทัพเขาอาจจะเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยแต่เมื่อหมดภาระทางทหารแล้วเขาคือนายธนาคารที่กำลังจะได้เลื่อนขั้น กลับมามีความเป็นอยู่สุขสบาย มีครอบครัวอบอุ่นในแบบที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน ปัญหาเดียวของเขาคือความเห็นอกเห็นใจทหารผ่านศึกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปล่อยสินเชื่อ โดยเขาเลือกจะเสี่ยงกับความมุ่งมั่นด้วยความเชื่อส่วนตัวมากกว่าจะยึดถือกฎระเบียบและหลักการปล่อยเงินกู้
.
และคนสุดท้ายทหารผ่านศึกซึ่งพิการแขนทั้งสองข้าง(นักแสดงพิการจริง) การกลับมาอยู่บ้านของเขาทำให้ต้องเผชิญกับความสงสารจากคนรอบข้าง ซึ่งเขาต้องการให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนปกติ นอกจากนี้ยังมีคู่หมั้นที่เขาพยายามสลัดเธอทิ้งเพราะไม่อยากให้เธอต้องมาลำบากในการดูแลคนพิการอย่างเขา ก็เป็นอีกหนึ่งหนังที่พูดถึงโลกของทหารหลังสงคราม
.
นอกนั้นในช่วงยุค 40's ก็มีหนังเกี่ยวพันกับนาซีที่น่าสนใจเช่น Night Train to Munich (1940) เล่าเรื่องสายลับอังกฤษปลอมตัวเป็นนายพลนาซีวางแผนช่วยเหลือนักประดิษฐ์อาวุธและลูกสาวที่ถูกลักพาตัวหลบหนีออกจากเยอรมัน ซึ่งหนังเต็มไปด้วยฉากจับผิดหาคนต่อต้านนาซีอารมณ์แบบ Inglourious Basterds มันจะมีฉากแบบผิวปากเป็นโทนเสียงดนตรีอังกฤษ แล้วถูกบริกรจับได้เพราะเพิ่งฟังวิทยุต่างชาติมา พระเอกของเราก็รีบโมโหเลี่ยงพิรุธใส่อีกฝ่ายว่าการแอบฟังวิทยุต่างชาติเป็นความผิด ทำให้บริกรเป็นฝ่ายเดินหน้าจ๋อยออกไปเพราะโดนจับได้ว่าฟังสื่อต่างชาติ
.
อีกเรื่องที่โด่งดังมาก ๆ ก็ Casablanca (1942) ภายใต้ความเป็นหนังโรแมนติกในสงครามสุดประทับใจของชาวอเมริกันที่อดีตเคยเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ที่กลายมาเป็นเจ้าของไนท์คลับที่โด่งดังที่สุดในคาซาบลังก้า มันยังแฝงการต่อต้านนาซีอย่างชัดเจน โดยใช้ตัวกลางเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แน่นอนว่าหนังมีนัยยะทางการเมืองเพราะถูกสร้างหลังเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นนำเครื่องบินรบถล่ม Pearl Harbor เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1941 ทีมอ่านบทของ Warner Bros. จึงรีบผลักดันให้มันถูกทำเป็นหนังด้วยเหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ที่จะทำหนังเพื่อปลุกสำนึกความรักแผ่นดิน แต่มันก็เป็นหนังปลุกสำนึกที่คุณภาพยอดเยี่ยมตลอดกาล
.
ในยุคนั้นยังมีหนังเกี่ยวพันกับสงครามขึ้นหิ้งของฮิตช์ค็อกคือ Lifeboat (1944) เล่าเรื่องผู้โดยสารบนเรือชูชีพ โดยหนึ่งในนั้นคือกัปตันเรือนาซี เป็นหนังวิพากษ์มนุษยธรรมที่โจมตีนาซีอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าใครเคยดู Foreign Correspondent (1940) หนังสายลับของฮิตช์ค็อกก็น่าจะไม่แปลกใจจุดยืนทางการเมืองต่อสงครามของเขา พล็อตว่าด้วยช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้น บก.ของนสพ. New York Globe เริ่มกังวลถึงอิทธิพลของพรรคนาซีและฮิตเลอร์ จึงส่งนักข่าวภาคสนามเดินทางไปหาข่าวในยุโรปว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นอเมริกายังไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ส่วนฮิตช์ค็อกก็เพิ่งย้ายจากอังกฤษมาอเมริกา แต่มีฉากถามหาความช่วยเหลือจากกองทัพอากาศอเมริกาด้วย ฉากจบเป็นปราศรัยของพระเอกที่เป็นนักข่าวออกอากาศจากอังกฤษถึงประชาชนในอเมริกา
.
อารมณ์คล้าย The Great Dictator (1940) ของชาร์ลีย์ แชปลิน หนังแสดงจุดยืนต่อต้านสงครามและการกระทำของฮิตเลอร์ต่อชาวยิวในยุโรป ซึ่งตอนท้ายหนังมีสปีชเรียกร้องสันติภาพให้เกิดขึ้น หลายข้อความเป็นคำพูดที่ดีมาก เช่นการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องบินหรือวิทยุไม่ใช่เพื่อสำหรับเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน โลกนี้ยังมีที่ว่างและอาหารพอสำหรับทุกคน เรียกร้องให้ทหารเลิกเป็นทาสผู้นำแต่ให้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ
.
ช่วงยุค 50's หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเกิน 5 ปี ยังมีหนังสงครามที่น่าสนใจอยู่พอสมควร หนึ่งในนั้นคือ Paths of Glory (1957) ของสแตนลีย์ คูบริค ความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ที่การกะเทาะเปลือกทหารระดับสูง นั่นคือฝรั่งเศสไม่สามารถบุกข้ามแนวรั้วลวดหนามของเยอรมันไปได้ ทหารกองหนุนไม่ออกจากหลุมเพลาะ บางส่วนวิ่นหนีกลับมา ทำให้นายพลโกรธมากถึงขนาดสั่งผู้บังคับการปืนใหญ่ให้ยิงหลุมเพลาะฝั่งตัวเอง สุดท้ายก็มีการเจรจาเพื่อจะประหารชีวิตให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยให้นายกองทั้งสามกอง เลือกตัวแทนมากองละหนึ่งคนเพื่อประหารชีวิตในข้อหาแสดงความขลาดต่อศัตรู คนหนึ่งถูกเลือกเพราะรู้ความลับนายกอง คนหนึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญสองเหรียญจากการรบครั้งก่อน ๆ แต่จับสลากถูกเลือกเป็นตัวแทนกอง และอีกคนถูกเลือกเพียงเพราะท่าทางเข้ากับสังคมได้ยาก ทั้งสามคนจะต้องขึ้นให้การในศาลทหารโดยมีผู้การของเขาเป็นทนายต่อสู้
.
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Stalag 17 (1953) เป็นหนังที่ถูกนับว่าเกี่ยวกับค่ายเชลยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องแรก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ฉายวงกว้าง ผลงานกำกับโดย บิลลี่ ไวล์เดอร์ เปรี้ยวขนาดว่าทำหนังในค่ายเชลยออกมาเป็นคอมเมดี้ (ค่ายเชลยสงครามจะไม่เหมือนค่ายกักกันนะ) หนังมันเล่าถึงเชลยสงคราม 2 คนแหกคุกหนีออกไปไม่ทันพ้นค่ายก็ถูกทหารเยอรมันดักรอยิงเสียชีวิต ทำให้คนในค่ายพักเกิดความสงสัยว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้ปนอยู่ด้วยแน่ ๆ ครึ่งเรื่องหาหนอน ครึ่งหลังเจอหนอนปุ๊บหาทางเอาคืน เรื่องนี้ในทางประวัติศาสตร์หนังก็ถือว่ามีความสำคัญอยู่มากทีเดียว
.
นอกนั้นก็มี The Bridge on the River Kwai (1957) ของเดวิด ลีน ว่าด้วยผู้บัญชาการทหารฝั่งอังกฤษตกเป็นเชลยสงครามของฝั่งญี่ปุ่น ถูกจับมาเป็นแรงงานสร้างสะพานในค่ายของผู้การญี่ปุ่น กับอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ The African Queen (1951) ที่เอาสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นพื้นหลังให้หนังผจญภัยล่องแม่น้ำในทวีปแอฟริกา ถ่ายทำที่ทวีปแอฟริกาจริง ๆ เรื่องนี้ระหว่างล่องเรือก็ต้องเจอทั้งอุปสรรคทางธรรมชาติ เช่น ดงต้นกกที่ต้องถางทางลากเรือฝ่าดง, น้ำตกน้ำเชี่ยว ไหนจะยังต้องเจอพวกเยอรมันระหว่างทางอีก สนุกและดีมาก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ From Here to Eternity (1953) หนังชนะ 8 รางวัลออสการ์ บอกเล่าเรื่องราวของทหารในกองทัพแห่งหนึ่งบนเกาะฮาวายก่อนถูกญี่ปุ่นโจมตี คือทั้งเรื่องมันพูดถึงความรักความขัดแย้ง แล้วฉากตอนท้ายมาปิดด้วยเครื่องบินญี่ปุ่นบินถล่มกองทัพอเมริกา แต่ก็มีฉากแนว ๆ รวมใจสู้ปลุกความฮึกเหิม ซึ่งถ้ามองตามปีที่สร้างก็ไม่ได้จำเป็นเท่าไร
-\-\-\-\-\-\-
เดี๋ยวลงพาร์ท 2 ต่อนะครับ
all quiet on the western front 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
1917 (2019) เข้าฉายรอบพิเศษ 23 มกราคมนี้
• ดูจบแล้วคิดได้อย่างเดียวคืออยากรีบกลับบ้านไปเล่น Battlefield 1
• การถ่ายลองเทคตลอดทั้งเรื่องไม่ใช่แค่เอามาโชว์ว่าเทคนิคเหนือชั้น แต่มันเวิร์คกับเนื้อหา ลงตัวกับการกำกับให้คนดูรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครด้วยความต่อเนื่องในการเล่าเรื่อง (หนังมีตัดต่อแบบชัด ๆ น่าจะประมาณไม่เกิน 4 ครั้ง)
• ส่วนตัวคิดว่า โรเจอร์ ดีกินส์ เป็นผู้กำกับภาพระดับต้น ๆ ของฮอลลีวูดที่มีรางวัลปะหน้าน้อยไปหน่อย (เข้าชิง 14 เรื่อง ชนะครั้งเดียวจาก Blade Runner 2049) เข้าใจได้ว่าแต่ละปีที่เข้าชิงออสการ์เจอแต่ของพีค ๆ หรือบางปีก็แพ้แบบคาใจ แต่ปีนี้ไม่รู้จะเอาอะไรมาแพ้แล้ว งานทะเยอทะยานระดับนี้
• เช่นเดียวกับการออกแบบงานสร้างหนังเรื่องนี้ที่คู่ควรกับการเป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์ ทั้งความละเอียด ความสมจริง การออกแบบที่ต้องคำนึงถึงการถ่ายลองเทคอีก
• ในแง่บทหนังคงไม่ได้เลิศหรูอะไร แต่บอกเลยว่าในแง่ประสบการณ์ชมภาพยนตร์ 1917 คือท็อปตลอดกาลอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน
• และคงไม่เกินจริงแต่อย่างใดที่จะจับ 1917 ขึ้นแท่นหนึ่งในหนังสงครามยอดเยี่ยมตลอดกาล
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ในขณะที่ฟอร์มหนังสงครามส่วนใหญ่เน้นไปที่การสำรวจกะเทาะเปลือกของทหาร / เชิดชูวีรบุรุษสงคราม / ฉายภาพความโหดร้ายเพื่อต่อต้านสงคราม ส่วน 1917 มันใกล้เคียงจะเป็น Dunkirk ในการเล่าภารกิจให้คนดูเอาใจช่วย แต่เป็นเวอร์ชั่นดีกว่าในหลายแง่มุม ทั้งความสมจริงเกาะติดตัวละครด้วยการถ่ายลองเทค และหนังก็เป็นเรต R ที่สามารถนำเสนอภาพน่าสะอิดสะเอียนและความรุนแรงได้ดีกว่าหนังสงครามเรต PG-13 ซึ่ง Dunkirk สำหรับเรามันเป็นหนังสงครามแนวทดลองของโนแลน ส่วน 1917 คือการสร้างประสบการณ์การดูหนังสงครามระดับที่ไม่ควรพลาดอย่างแท้จริงจากแซม เมนเดส
.
พล็อตหนังแค่ว่า 'เบลค' (Dean-Charles Chapman) กับ 'สคอฟิลด์' (George MacKay) ได้รับภารกิจจากนายพลให้ฝ่าดงข้าศึกนำจดหมายไปแจ้งทัพหน้าให้หยุดแผนบุกเยอรมันเพราะเป็นกับดักที่อาจจะทำให้ทหาร 1,600 นายตายเรียบ ซึ่งหนังเปิดเรื่องมาก็ยิงลองเทคยาวแบบคนดูจ้องตาไม่กระพริบ ยาวจนต้องลุ้นว่าพี่จะไม่ตัดเลยจริงเหรอ การถ่ายอาจจะไม่ได้ลูกเล่นล้นเหลือมากนัก แต่พอดูเซ็ตติ้งฉากในสนามเพลาะกับการเคลื่อนกล้องที่ถูกออกแบบมาอย่างดีจนฉงนในหลายครั้งว่าถ่ายได้อย่างไร หลายฉากคือดูออกเลยว่าผ่านการคิดมาอย่างดีจนภาพมันเล่าเรื่องได้ต่อเนื่อง เป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้คนดูรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครโดยไม่ขาดช่วงแม้แต่นิดเดียว ถ้าดูไม่ผิดนี่ช็อตแรกคือยาวประมาณ 30 นาทีต่อเนื่องเลยนะ แล้วก็มีตัดย่อยนิดหน่อยไม่กี่ครั้งในช่วง 75 นาทีแรก ถือว่าโหดมาก
.
แล้วการดำเนินเรื่องมันก็ฟอร์มหนังสงครามโลกในสเกลเล็กลงมาหน่อย ไม่ได้มีฉากสงครามใหญ่ ๆ แต่มีฉากยิบย่อยชวนลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทุกฉาก ความที่กล้องเกาะติดกับนักแสดงจึงทำให้คนดูตกอยู่ในภาวะอันตรายรอบด้านเหมือนกัน มีฉากลุ้นสุดตื่นเต้นตอนอยู่ในดงข้าศึก(ที่อาจจะหงุดหงิดว่าฝั่งเยอรมันยิ่งปืนห่วยยิ่งกว่าสตอร์มทรูปเปอร์) พ่วงด้วยการถ่ายแบบลองเทคที่ยิ่งทำให้เห็นว่าหัวซุกหัวซุนของแท้เป็นอย่างไร แถมฉากกลางคืนยังเล่นกับพลุไฟและแสงเงาได้ชวนทึ่ง อันที่จริงฉากเดินธรรมดายังรู้สึกระแวงตลอดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะพออยู่กลางสมรภูมิรบมันเหมือนทุกสิ่งเป็นไปได้หมด
.
ตัวหนังเองก็เขียนบทค่อนข้างสงบ ตัวละครไม่โหวกเหวกโวยวาย ชอบบทสนทนาฉากเจอต้นเชอร์รี่ถูกโค่นแล้วเดินคุยกันถึงสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยต้นเชอร์รี่ มันเป็นความเรียบง่าย ราวกับปลายทางของทุกคนต้องการแค่ได้นั่งพักชั่วครู่ แล้วรำลึกถึงสิ่งที่ตัวเองโหยหาหากสงครามสิ้นสุดลง
Director: Sam Mendes (ผู้กำกับ American Beauty, Road to Perdition, Jarhead)
screenplay: Sam Mendes, Krysty Wilson-Cairns
Genre: war, drama
9/10
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
#ดูอะไรต่อดี
War Horse (2011), Paths of Glory (1957), All Quiet on the Western Front (1930)
all quiet on the western front 在 Matt's 電玩之夜 Game Night Youtube 的最佳解答
Mattㄟ粉絲專頁 ►
https://goo.gl/e148I4
--------------------
想加入一起玩?►
PS4ID: MattHuang850813 (如果我在線上可以直接加進來,時間沒有固定)
--------------------
Mattㄟ實況 《戰地風雲1》你不能不知的歷史故事!►
https://goo.gl/7iDEZD
--------------------
使用畫面►
1. All Quiet on the Western Front
2. All Quiet on the Western Front (4_10) Movie CLIP - What Good Are They to You_ (1930) HD
3. Band of Brothers - Easy Company got trouble with Captain Sobel
4. Battlefield 1 Official Reveal Trailer
5. Full Metal Jacket Opening Scene
6. Jarhead - Welcome to Marine Corps HD
7. The Butterfly - All Quiet on the Western Front (10_10) Movie CLIP (1930) HD
--------------------
背景音樂►
1. End Titles (Dunkirk OST)