ทำไม KTBSTMR REIT คือช่องทางลงทุนอสังหาฯ ที่ดี ในช่วงเวลานี้
ถ้าพูดถึงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานี้
ต้องยอมรับว่า หลายคนเลือกที่จะมองข้ามไป
เพราะกลัวขาดทุน กลัวความเสี่ยง และกลัวว่าลงทุนแล้วจะไม่เติบโต
รู้หรือไม่ว่า.. ความกลัวเหล่านี้จะหายไป
หากเราเลือกลงทุนในกอง REIT ที่ดี
มีการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
และยังมีแผนการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินกอง REIT
จาก 3,015 ล้านบาท ไปสู่ 20,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า
แล้วช่วงนี้ยังถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะลงทุนกอง REIT เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ต เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอีกด้วย
กอง REIT ที่ว่านี้ คืออะไร ?
แล้วเราจะลงทุนในกอง REIT นี้ได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
อย่างที่ทราบกันว่า..
การรักษาเงินต้น การกระจายความเสี่ยง และการสร้างการเติบโต
คือ หลักการพื้นฐานในโลกการลงทุน
แม้จะฟังดูง่าย แต่กลับยากเมื่อลงมือปฏิบัติจริง
หลายคนจึงเลือกลงทุนทรัพย์สินที่ตนเองสนใจ
ในรูปแบบที่จะมีผู้เชี่ยวชาญในทรัพย์สินนั้น ๆ คอยดูแลบริหารการลงทุนให้
อย่างเช่นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผ่านรูปแบบของกอง REIT
REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust
หรือก็คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น สิทธิการเช่าศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โกดังคลังสินค้า
หนึ่งในกอง REIT ที่น่าสนใจในขณะนี้..
ก็คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เคทีบีเอสที มิกซ์
หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า KTBSTMR REIT
แล้ว KTBSTMR REIT น่าสนใจอย่างไร ?
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เคทีบีเอสที มิกซ์
หรือ KTBSTMR REIT เป็นกอง REIT อิสระกองแรกในประเทศไทย
ที่มีการลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว 30 ปี ใน 3 ประเภทอสังหาริมทรัพย์
แถมยังมีการจดจำนองหลักประกันซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นั่นคือ
1. ประเภทคลังสินค้า/โรงงาน 64.53% ของสินทรัพย์รวม
มีพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 121,619.67 ตารางเมตร อัตราการเช่าเฉลี่ยของทั้ง 3 โครงการอยู่ที่ 85%
ประกอบด้วย
-อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 1 โครงการ คือ Rich Asset
ที่มีอัตราการเช่า 90% คือมีผู้เช่าแล้ว 38 จากทั้งหมด 41 คลังสินค้า/โรงงาน
พร้อมรองรับผู้เช่า SME ขนาดเล็ก-กลาง ที่ต้องการเก็บสินค้า
และผู้ผลิตขนาดเล็ก ตอบรับเทรนด์ธุรกิจ E-commerce ในอนาคต
-อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 1 โครงการ
คือ เอสที บางบ่อ ที่มีอัตราการเช่า 63% คือมีผู้เช่าแล้ว 6 จากทั้งหมด 9 คลังสินค้า/โรงงาน
พร้อมรองรับกลุ่มผู้เช่าขนาดกลาง กลุ่มผู้ผลิต และส่งออกอะไหล่ขนาดกลาง ซึ่งในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 มีผู้เช่าหมดสัญญา จากนั้นมีผู้เช่าเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้โครงการ ST Bang Bo มีอัตราการเช่า ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ขึ้นมาอยู่ที่ 80%
-อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 1 โครงการ
คือ เอสที บางปะอิน ที่มีอัตราการเช่า 100% จากผู้เช่ารายใหญ่รายเดียว
คือ LF Logistics ตัวแทนขนส่งสินค้าตามจุดสาขาทั่วประเทศ
ให้กับธุรกิจหลากหลายประเภท เช่น ธุรกิจอาหาร เสื้อผ้า เครื่องดื่ม ให้กับบริษัทชั้นนำ
และมีการจดทะเบียนสิทธิการเช่าถึงธันวาคม 2573 (สัญญาเช่าเหลืออีกประมาณ 10 ปี)
ที่น่าสนใจคือ ทั้ง 3 โครงการ ล้วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เหมาะแก่การเป็นศูนย์การกระจายสินค้าที่ดี
นอกจากนี้ ยังตั้งอยู่บนทำเลที่จะมีเส้นทางสัญจรใหม่ ๆ เกิดขึ้น อาทิ
-ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองถนนมอเตอร์เวย์ หมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา ได้เปิดให้ประชาชนทดลองใช้เดินทาง
-ถนนวงแหวนรอบนอก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการ
ทั้งหมดนี้ หากมีการเปิดใช้เต็มรูปแบบ ย่อมส่งเสริมให้การคมนาคมของโครงการคลังสินค้า/โรงงานทั้งหมดของ KTBSTMR REIT สะดวกสบายมากขึ้นได้
2. ประเภทอาคารสำนักงาน 13.85% ของสินทรัพย์รวม
คือ อาคาร Summer Hub อยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง
รองรับกลุ่มธุรกิจไทยและต่างชาติ ขนาดเล็ก-กลาง
ด้วยพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 5,147 ตารางเมตร
และมีอัตราการเช่า 93.3% โดยมีจำนวนผู้เช่า 15 ยูนิตจากทั้งหมด 17 ยูนิต
ที่น่าสนใจคือ ย่านพระโขนง ถือว่าเป็น New CBD ที่ค่อย ๆ ได้รับการพัฒนา
และ Summer Hub ยังเป็นโครงการที่มีคู่แข่งในอนาคตต่ำ
เพราะเป็นอาคารสำนักงานใหม่แห่งเดียว (อายุเพียง 2 ปี) ที่อยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง
3. ประเภทอาคารศูนย์การค้า 21.62% ของสินทรัพย์รวม
คือ อาคาร Summer Hill อยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง
แวดล้อมไปด้วยคอนโดมิเนียม 14 โครงการ ในระยะ 1 กิโลเมตร
พร้อมรองรับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่มีศักยภาพการจับจ่ายระดับกลาง-บน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ด้วยพื้นที่ให้เช่ารวมประมาณ 5,138 ตารางเมตร
และมีอัตราการเช่า 93.9% โดยมีจำนวนผู้เช่า 16 ยูนิตจากทั้งหมด 18 ยูนิต
โดยขณะนี้ Summer Hill มีผู้เช่ารายใหญ่ทั้งหมด 3 แบรนด์ ประกอบด้วย
-Regus ในนามสเปซเซส ซัมเมอร์ ฮิลล์ ให้บริการพื้นที่ทำงานแบบ Co-working Space
พื้นที่เช่า 37.35% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด
-Fitness24Seven ฟิตเนสเปิด 24 ชั่วโมง พื้นที่เช่า 18.44% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด
-Tops Daily พื้นที่เช่า 5.06% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด
ที่น่าสนใจคือ โครงการ Summer Hill มียูนิตไม่มาก
ทำให้หาผู้เช่าเต็มพื้นที่ได้ไม่ยาก จึงมีโอกาสรับรายได้จากการเช่าแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า KTBSTMR REIT มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี
ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งได้
ทั้งในแง่ของประเภทอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผู้เช่า และทำเลที่ตั้ง
จึงช่วยให้มีโอกาส “จ่ายเงินปันผล” อย่างสม่ำเสมอได้
ที่น่าสนใจคือ KTBSTMR REIT ยังมีการรับประกันรายได้ปีแรก จากเจ้าของทรัพย์สินที่มีความน่าเชื่อถือ
นั่นคือ
-บริษัท เอสที พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด (STPL) ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และให้บริการเกี่ยวกับงานโลจิสติกส์ เป็นบริษัทในกลุ่ม STPI และ STEC
-กลุ่มบริษัท ริช แอสเซ็ท ผู้มีประสบการณ์ด้านการดูแลสินทรัพย์ประเภทโรงงานและคลังสินค้าในพื้นที่บางพลี มากว่า 20 ปี และได้พัฒนาโครงการมาแล้วกว่า 200,000 ตารางเมตร รวม 81 แห่ง
และยังเป็นผู้บริหารทรัพย์สินในส่วนของตนให้กับกองทรัสต์อีกด้วย
จึงมั่นใจได้ว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จุดนี้เองที่ทำให้ KTBSTMR REIT คาดว่าจะสามารถจ่ายอัตราผลตอบแทนแก่นักลงทุนได้ 7.02% ในปีแรก
ขณะที่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนตลาด อยู่ที่ 5.47%
นอกจาก “การกระจายความเสี่ยงที่ดี” และ “การรับประกันรายได้ปีแรก”
จะทำให้ KTBSTMR REIT มีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจแล้ว
รู้หรือไม่ว่า KTBSTMR REIT ยังเรียกจดจำนองหลักประกันทรัพย์สิน
ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงกว่ามูลค่าสิทธิการเช่า 30 ปี อีกด้วย
พูดง่าย ๆ ว่า หากทรัพย์สินข้างต้น ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับกอง REIT ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างอายุสัญญาเช่า และส่งผลให้ REIT ไม่สามารถจัดหาประโยชน์บนทรัพย์สินที่เช่าได้ครบ 30 ปี
เจ้าของทรัพย์สินจะต้องคืนเงินค่าเช่าตามมูลค่าสิทธิการเช่าคงเหลือ ณ ขณะนั้น
ซึ่งจะคำนวณตามวิธีเส้นตรง ให้แก่กอง REIT
หากไม่ชำระ กอง REIT สามารถบังคับหลักประกัน และบังคับขายสินทรัพย์
ซึ่งมูลค่าของหลักประกันจะครอบคลุมมูลค่าสิทธิการเช่า (คงเหลือ) ตลอดอายุการลงทุน
จึงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ว่า..
การลงทุน KTBSTMR REIT ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์เลวร้ายใดก็ตาม
นักลงทุนจะได้รับ “เงินค่าเช่าตามมูลค่าสิทธิการเช่าคงเหลือ” อย่างแน่นอน
แล้วการเติบโตของ KTBSTMR REIT ในอนาคตเป็นอย่างไร ?
สำหรับทรัพย์สินประเภทคลังสินค้าและโรงงาน
ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ปกติแล้วจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าเฉลี่ย 5-10% ต่อรอบสัญญาทุก ๆ 3 ปี
ทำให้ผลตอบแทนของกอง REIT มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน ทรัพย์สินประเภทอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า
ที่ตั้งอยู่ติดกับ BTS สถานีพระโขนง ก็ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
จากการขยายตัวของความเจริญจากสุขุมวิท
และแปลงที่ดินที่มีจำกัด ยากจะขึ้นโครงการใหม่ ๆ
ประกอบกับราคาค่าเช่าที่ต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้มีโอกาสที่ค่าเช่าในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้นได้
ที่น่าสนใจคือ KTBSTMR REIT ยังมีอิสระในการเลือกลงทุนทรัพย์สินใหม่ ๆ
เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้ ไม่จำกัดว่าต้องเลือกทรัพย์สินจากเจ้าของเจ้าใดเจ้าหนึ่ง
ซึ่งภายใน 5 ปีนับจากนี้..
KTBSTMR REIT มีแผนจะสร้างการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินกอง REIT
จาก 3,015 ล้านบาท ไปสู่ 20,000 ล้านบาท
โดยมีการศึกษาโครงการต่าง ๆ มากกว่า 40 โครงการ
เพื่อคัดสรรทรัพย์สินที่เหมาะสมที่สุด มาอยู่ในกอง REIT อีกด้วย
มาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า..
ภายใต้ช่วงเวลาวิกฤติ ก็สามารถเป็นโอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ดีได้
หากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์นั้น.. ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี
เช่นเดียวกัน KTBSTMR REIT ที่ถูกออกแบบเพื่อรองรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์
ที่สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน ครบทั้ง 3 ประการ นั่นคือ
-มีหลักประกันเป็นการจดจำนอง
-ลดความเสี่ยง สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ ด้วยการกระจายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ
-เป็นการลงทุนที่มีการเติบโตในอนาคต
KTBSTMR REIT จึงกลายเป็นหนึ่งโอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ดี ภายใต้วิกฤติโควิด 19 นี้ นั่นเอง..
สำหรับใครที่สนใจลงทุนในกอง KTBSTMR REIT
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ktbstmr.com หรือ www.ktbstreit.co.th
โดยจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 19-29 ตุลาคม 2564 นี้ สามารถติดต่อจองซื้อได้ที่ 02-351-1800 กด 5 หรือสามารถลงทะเบียนจองซื้อ KTBSTMR ได้ที่ http://bit.ly/3bSk1oy
ที่สำคัญ เปิดพอร์ตกับบริษัทหลักทรัพย์ใดก็สามารถจองซื้อได้ แต่หากยังไม่มีพอร์ตสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ ยืนยันตัวตนด้วย NDID กับ KTBST SEC ได้เลย
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน
ที่มา: หนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยทรัสต์ เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เคทีบีเอสที มิกซ์ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2564
e-commerce logistics คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
Tiki อีคอมเมิร์ซ เวียดนาม ที่ใกล้เป็นยูนิคอร์น /โดย ลงทุนแมน
จากข้อมูลเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ที่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปใช้งานมากที่สุดในปี 2020
อันดับที่ 1 และ 2 คือ Shopee และ Lazada จากสิงคโปร์
อันดับที่ 3 และ 4 คือ Tokopedia และ Bukalapak จากอินโดนีเซีย
อันดับที่ 5 และ 6 คือ Thegioididong และ Tiki จากเวียดนาม
สำหรับ Shopee และ Lazada คนไทยน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ส่วน Tokopedia และ Bukalapak ของอินโดนีเซียหลายคนคงคุ้นหู
แต่หลายคนอาจไม่คุ้นหูกับชื่อ Thegioididong และ Tiki
นั่นก็เพราะว่าทั้ง 2 แบรนด์นี้เป็นอีคอมเมิร์ซจากเวียดนาม
ที่แม้จะยังไม่ได้เข้ามาทำธุรกิจในไทย
แต่ก็ขึ้นมาติดอันดับอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาค
แล้วอีคอมเมิร์ซเวียดนาม มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ประเทศเวียดนาม ยังคงเป็นประเทศที่ใช้เงินสดเป็นหลัก
โดยมีเพียง 1 ใน 3 ของประชากร ที่มีบัญชีธนาคาร
และมีเพียง 5% ของประชากร ที่มีบัตรเครดิต
การซื้อของออนไลน์ ที่มักรับชำระเงินโดยไม่ใช้เงินสด จึงยังได้รับความนิยมไม่มากนัก
โดยสัดส่วนการซื้อของผ่านทางออนไลน์ ยังคิดเป็นเพียง 3% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด
ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน
หรือเทียบกับประเทศไทย ที่มีสัดส่วนนี้อยู่ที่ประมาณ 8%
แต่ด้วยตลาดอีคอมเมิร์ซที่เริ่มต้นช้ากว่าคนอื่น และขนาดตลาดที่ยังเล็กอยู่ในปัจจุบัน
อีคอมเมิร์ซในประเทศเวียดนามจึงจัดว่าอยู่ในช่วงต้นของการเติบโต
ซึ่งรัฐบาลเวียดนามเองก็ผลักดันอีคอมเมิร์ซและสังคมดิจิทัลเป็นอย่างมาก
โดยตั้งใจให้สัดส่วนของอีคอมเมิร์ซขยับขึ้น
จาก 3% เป็น 10% ของยอดค้าปลีกรวม ภายในปี 2025
แล้วผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามตอนนี้เป็นใครกันบ้าง ?
จากจำนวนคนที่เข้าไปใช้งานต่อเดือนบนเว็บไซต์เวียดนาม ในไตรมาสแรกของปี 2021
เว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานสูงสุดก็คือ
อันดับที่ 1 Shopee มีผู้ใช้งาน 63.7 ล้านครั้งต่อเดือน
อันดับที่ 2 Thegioididong มีผู้ใช้งาน 29.3 ล้านครั้งต่อเดือน
อันดับที่ 3 Tiki มีผู้ใช้งาน 19.0 ล้านครั้งต่อเดือน
อันดับที่ 4 Lazada มีผู้ใช้งาน 17.9 ล้านครั้งต่อเดือน
หากไม่นับ Thegioididong ที่เป็นช่องทางขายสินค้าออนไลน์
ของร้านค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ในเครือบริษัท Mobile World
ที่คล้ายกับ Com7 ของไทย
ผู้เล่นที่น่าจับตามองก็คือ “Tiki” แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติเวียดนาม
ที่เฉือนเอาชนะ Lazada และกำลังท้าชิง Shopee เจ้าตลาดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้านยอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
Tiki ก็ตามมาเป็นอันดับ 3 เป็นรองเพียง Shopee และ Lazada
สำหรับเจ้าตลาดอย่าง Shopee ได้เริ่มเข้ามาให้บริการในประเทศเวียดนามในปี 2016
โดยเริ่มต้นใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับในประเทศอื่น
นั่นก็คือเน้นที่ตลาดผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer to Consumer หรือ C2C)
ก่อนที่ภายหลังจะมีบริการ Shopee Mall ซึ่งเป็นช่องทางการขายระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค (Business to Consumer หรือ B2C)
จุดเด่นที่ใช้ดึงดูดลูกค้า นอกจากเรื่องการไม่คิดค่าส่งสินค้า
และค่าธรรมเนียมที่ต่ำแล้ว Shopee ยังมีระบบนิเวศอื่นเข้ามาเสริม
ให้การซื้อขายทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น อย่างเช่น E-wallet
ในขณะที่ Tiki อีคอมเมิร์ซสัญชาติเวียดนาม
ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2010 เริ่มจากการใช้กลยุทธ์ B2C
เหตุผลสำคัญก็เพื่อต้องการควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้ก่อน
หลังจากนั้นค่อยเริ่มขยายมาให้บริการแบบ C2C ด้วย
ซึ่งทาง Tiki ก็เข้มงวดกับการคัดกรองผู้ขาย เพราะต้องการเน้นที่คุณภาพของสินค้า
และการสร้างความพึงพอใจให้ผู้ซื้ออยู่เหมือนเดิม
หากได้รับคำร้องจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพสินค้าไม่ตรงกับตอนขาย
หรือได้รับของปลอม Tiki จะถอดผู้ขายรายนั้นออกทันทีหากตรวจสอบแล้วว่าผู้ขายนั้นผิดจริง
และเพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับผู้ที่ซื้อสินค้าผ่านทาง Tiki มากขึ้นไปอีก
Tiki ได้เน้นลงทุนไปกับระบบการจัดการโลจิสติกส์แบบครบวงจร
ตั้งแต่คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือผู้รับ
ที่เริ่มจากโฟกัสลูกค้าในเมืองใหญ่ ๆ ก่อน
แล้วค่อยขยายพื้นที่บริการออกไปตามนอกเมืองมากขึ้น
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ระบบทั้งหมดนี้ เป็น Smart Logistics
ซึ่ง Tiki ก็ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างเช่น AI และหุ่นยนต์
เข้ามาช่วยจัดการภายในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า เพื่อช่วยลดเวลาลงในทุกขั้นตอน
การวางระบบ Smart Logistics ทั้งหมดนี้ ดูแลโดยคุณ “Henry Low”
ผู้มีประสบการณ์ในการบริหารห่วงโซ่อุปทานในบริษัทอีคอมเมิร์ซระดับโลก
จากทั้ง Amazon ที่สหรัฐอเมริกา และ Coupang ที่เกาหลีใต้
ซึ่งความรวดเร็วจากการจัดการด้วยระบบ Smart Logistics
ก็ได้ทำให้ Tiki สามารถให้บริการที่ใช้ชื่อว่า TikiNOW ได้สำเร็จ
โดย TikiNOW เป็นบริการที่ลูกค้าจะได้รับสินค้าหลังจากสั่งซื้อภายใน 2 ถึง 3 ชั่วโมงเท่านั้น
ซึ่งก็ได้เริ่มให้บริการสำหรับผู้ซื้อในเขตเมือง เช่น ฮานอย โฮจิมินห์ และดานังก่อน
ด้วยความสะดวกรวดเร็ว บริการนี้ก็ได้กลายมาเป็นจุดเด่น
และจุดขายหลักของ Tiki ที่ได้รับความนิยมสูงมากจากลูกค้า
มาถึงตรงนี้ หากจะมองว่า Tiki เปรียบเสมือน Amazon ของเวียดนาม ก็คงไม่แปลกนัก
ซึ่งความคล้ายคลึงกันนั้น นอกจากเรื่องการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีระบบขนส่งครบวงจรแล้ว
จุดเริ่มต้นของ Tiki ยังมาจากการขายหนังสือ เหมือนกับจุดกำเนิดของ Amazon อีกด้วย
คำถามต่อมาก็คือ แล้วผู้ก่อตั้ง Tiki คือใคร ?
คุณ Tran Ngoc Thai Son หรือคุณ Son ผู้เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์
และจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านอีคอมเมิร์ซจากออสเตรเลีย
เขาคนนี้ได้เริ่มก่อตั้ง Tiki ในปี 2010 จากการเขียนโคดเพื่อสร้างเป็นแพลตฟอร์มสำหรับขายหนังสือภาษาอังกฤษในเวียดนาม
สมัยนั้นในเวียดนามยังแทบไม่มีหนังสือภาษาอังกฤษขายเลย คุณ Son จึงมองว่านี่เป็นโอกาส
คุณ Son มีเงินทุนตั้งต้นราว 180,000 บาท เริ่มจากซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาจาก Amazon
และใช้ห้องนอนตัวเองเป็นทั้งห้องทำงานเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม
โกดังเก็บสต็อกหนังสือ และห้องบรรจุสินค้าพร้อมส่ง
เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อหนังสือ คุณ Son จะขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งสินค้าเอง
เรียกได้ว่าในระยะแรก ต้องลงมือทำเองทุกขั้นตอน ซึ่งที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า
คุณ Son ไม่ได้มีผู้ร่วมก่อตั้ง และยังมีเงินทุนไม่เพียงพอสำหรับจ้างพนักงาน
หลังจากทำธุรกิจพร้อมกับเริ่มสร้างทีมเล็ก ๆ ไปได้ 2 ปี
Tiki ก็สามารถระดมทุนครั้งแรกได้สำเร็จ
จนมาถึงในปัจจุบัน Tiki ระดมทุนไปแล้วกว่า 5,996 ล้านบาท
จาก JD.com, Temasek Holdings, Sumitomo รวมถึง VNG ยูนิคอร์นบริษัทแรกของเวียดนาม
ซึ่ง Tiki ก็ยังคงมุ่งเน้นลงทุนในระบบ Smart Logistics ต่อเนื่อง
เพื่อขยายขนาดคลังสินค้า และกระจายศูนย์กระจายสินค้า
ให้ครอบคลุมหลายพื้นที่มากขึ้น
รวมไปถึงพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
ปัจจุบัน นอกจากสินค้ากลุ่มหนังสือแล้ว
Tiki มีสินค้าครอบคลุมกว่า 26 หมวด
ตั้งแต่เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่น และเครื่องเขียน
ไปจนถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
และ Tiki ยังเริ่มต่อยอดไปในธุรกิจอื่นที่ยังคงเกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ เช่น
ในปี 2019 Tiki ได้เข้าซื้อกิจการ Ticketbox บริการจำหน่ายตั๋วออนไลน์
ในปี 2020 Tiki ได้ออกบัตรเครดิตร่วมกับธนาคารท้องถิ่นที่ชื่อ Sacombank
แม้ว่ามูลค่าบริษัทของ Tiki จะยังไม่ถูกเปิดเผย
แต่หลายฝ่ายก็จัดให้ Tiki อยู่ในกลุ่มมีแนวโน้ม
ที่จะมีมูลค่ากิจการในระดับยูนิคอร์น
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า
ต่อจากยูนิคอร์นตัวแรกของเวียดนามอย่าง VNG แล้ว
ยูนิคอร์นตัวต่อไปของเวียดนามอาจจะเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ที่ชื่อว่า Tiki ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://asia.nikkei.com/Business/Business-Spotlight/Alibaba-and-Shopee-clash-in-Vietnam-as-ASEAN-e-commerce-war-rages
-https://www.scmp.com/news/asia/southeast-asia/article/3135716/vietnams-booming-e-commerce-sector-sparks-feeding-frenzy
-https://theconomics.net/ecommerce-c-c-or-b-c-business-case/
-https://iprice.vn/insights/mapofecommerce/en/
-https://www.bain.com/insights/e-conomy-sea-2020/
-https://www.vietchallenge.org/post/the-history-of-tiki-vn-an-amazon-of-vietnam
-https://e.vnexpress.net/news/business/data-speaks/vietnam-dominates-list-of-top-southeast-asian-e-commerce-sites-4249599.html
-https://www.crunchbase.com/organization/tiki-vn
e-commerce logistics คือ 在 คุยการเงินกับที Facebook 的最佳解答
หุ้น JD.Com : หุ้น e-commerce สัญชาติจีนที่เติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม
JD - JD.com ,Inc.
Price : 75.51$(08/05/2021)
PE(FWD) : 41.86
Market cap : 1.16 เเสนล้านเหรียญ
JD.com เป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจ เกี่ยวกับ ecommerce อย่างที่ทุกคนรู้กัน ในปัจจุบัน เเต่ความเป็นจริงเเล้ว ก่อตั้งโดย ริชาร์ด หลิว มาตั้งเเต่ปี 2531 โดยทำธุรกิจเกี่ยวกับขายอุปกรณ์ไอที เป็นหลัก
จนกระทั่งในปี 2547 ริชาร์ด ก็ปรับรูปเเบบ ธุรกิจของตัวเองไปสู่การทำ ecommerce เพื่อให้รับกับกระเเสของโลกที่กำลังมาในขณะนั้น ซึ่ง jd.com เน้นไปที่การสร้างระบบ logistics ที่ดีก่อน ทำให้ในปัจจุบัน มีความโดดเด่น ในการจัดส่งสินค้าต่างๆ ได้รวดเร็ว ภายใน 1 วัน (เเตกต่างจาก alibaba ที่ให้รายย่อยขายสินค้าเอง เเต่ jd.com เป็นผู้จัดจำหน่ายเอง)
จุดพลิกพลันของธุรกิจ คือ การได้รับกานลงทุน จาก tencent เเละ walmart ที่ล้มเหลวในการมำ ecommerce ในจีน จากจุดนี้ทำให้ jd.com รุดหน้าไปอย่สงรวดเร็ว เเละ กระจายไปสู่ธุรกิจ jd.finance เเละ cloud เพื่อต่อยอดความสำเร็จไปอีก
...........
ทีนี้กลับมาในเเง่ ของการลงทุน
จากในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง alibaba , tencent รวถึงตัว jd เองที่ได้รับความกังวลจาก ภาวะของการเข้ามายุ่งโดยรัฐบาลจีน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมา พอสมควร ซึ่งนับว่าราคานี้ ได้รับการ price in ไปเเล้ว จึงมี downside ทีค่อนข้างต่ำถ้าไม่ได้มีปัจจัยเเย่มาเพิ่มเติม
เเต่ในส่วนของ upside คือ trade ในระดับ 18เท่า ของราคาหุ้นต่อ กระเเสเงินสดอิสระ (2021 ) เเละยังมีการเติบโตในฝั่งของรายได้ที่มีการเติบโต....
2016 37,199 ล้านเหรียญ
2017 55,685 ล้านเหรียญ
2018 67,168 ล้านเหรียญ
2019 82,851 ล้านเหรียญ
2020 114,250 ล้านเหรียญ
ภายใน 5 ปี โตขึ้นมาถึง 3 เท่า (เติบโตที่ 30-40% ต่อปีโดยเฉลี่ย)
ในส่วนของ 3 ปีย้อนหลัง ก็สามารถ มีกระเเสเงินสดจากการดำเนินงานกลับมาเป็นบวกได้ เเละ เริ่มมีกำไรเช่นกัน
ในส่วนของจุดอ่อน ก็คือ การที่ jd.com เน้นการทำธุรกิจ เเบบขายสินค้าเเบบจัดจำหน่ายเอง ทำให้ การเติบโตของรายได้ ที่เพิ่มขึ้น ก็จริง เเต่ gross profit ไม่ได้เพิ่มสูง เพราะ มีต้นทุนที่สูงขึ้น
เเละเนื่องจาก jd เองก็รู้ถึงจุดอ่อนนี้ จึงทำ jd.finance เเละ ระบบ cloud มาเพื่อ เพิ่ม gross profit ตัวเองให้สูงขึ้น เเละยังลงทุนใน infrastructure ค่อนข้างสูง เพื่อเพิ่มการพึ่งพิงจากร้านค้า
........................................
ติดตามข้อมูล เศรษฐกิจ การลงทุนในต่างประเทศ ในไทย ได้ที่คุยการเงินกับที
........................................
Ref : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910135
JD.com: Solid Growth, Strong Free Cash Flow - Why It's Worthwhile Considering
https://seekingalpha.com/article/4419966-jd-com-solid-growth-strong-free-cash-flow-why-worthwhile-considering
Trin T