Are you ready for the motherload?
WE ARE ON DAY 18 of self-quarantine and still really like each other! Here are some of our favorite play ideas that we've loved doing as a family and independently.
WE GOT THIS, MAMAS!!!
***
SENSORY
***
Oobleck (cornstarch + water)
Playdough (recipe saved under my highlights on ig @rachealkwacz)
Simple dough (flour + water)
Slime (recipe on ig!)
Organic slime (psyllium husk + water heated up)
Ice (add water, add salt, add food coloring, freeze it w a toy inside, the list is endless!)
Baths (bubbles, bath bombs, "swimming", use your sand toys, kitchen tools, etc)
Sily putty
Blutak
Clay
Mud (soil and water)
Clean mud (shredded paper + soap shavings + water)
Shredded paper
Newspaper
Jello
Rice
Barley
Beans
Lentils
Shaving cream
Sand
Salt
*Food sources are a precious commodity at the moment (we haven't been to a grocery store!) so we've really been conserving all our dry goods for however long we might need to quarantine for which means we're really rotating between just a few things (water, soil, slime, etc) so don't worry about having to come out with something new everyday. They are honestly happy to play with the same medium, it allows them to come out with different creations and explore deeper!
***
MOVE
***
Dance party
Yoga
Zumba
Stretch
Hide and seek
Treasure hunt
Obstacle course
Balls
Balance board
Bubbles
Jump rope
Bicycle
Scooter
Stairs
Jumping on the bed
***
ARTS & CRAFTS
***
Coloring - there are a ton of cool printables including a very fun one from sereni & shentel
Paint
Paper mache - glue w paste made from cooked flour and water
Markers
Cards
Stickers
Glue
Cutting
Different textures of paper
Cardboard painting
Honestly, Ella Grace has a little art table so she really just leads this. We just make the materials available for her and she comes out with some gems! My best advice however is for painting or anything that's "messy", let them paint in the shower! We strip her down, she paints on the glass to her heart's content, the clean up and hosing it down is part of the fun then a shower after! No stains on clothes, no worrying about wet paint or where to hang all the artwork later and best of all, minimal clean-up!
***
ROLE PLAY
***
The sky is the limit on this one and honestly, the world (or anything she can find within our four walls) is her oyster
Dress-up
Costume jewelry
Blanket - she has a soft bamboo muslin wrap from when she was little that she uses for everything. It's probably her most used toy in the house she plays w it so much - cape, hat, skirt, scarf, etc
Forts - use flat sheets or blankets and pillows and see what you can build with what you have!
Cardboard - build a robot suit or an entire landscape!
Restaurant - there's an instruction leaflet from a game that Ella Grace likes to use as a "menu" which again goes back to…use your imagination! You don't have to have a "kitchen" to play cooking!
Salon - hair, facials, manis, pedis, even daddy gets to have a go!
Construction - one of our favorite things to do is just build. We recycle old egg cartons, boxes, packaging materal, magnatiles - Bueno Blocks has an incredible selection of open-ended toys!
Real life - honestly this the best and total win-win! She helps me cook, cut, prep, mop, sweep, vaccuum, make beds, wipe, clean, etc and is actually a really big help!!
***
ETC
***
Reading (she does a lot of this both independently and together as a family)
Writing/activity books - this is really optional. Our ethos is play is learning and learning has to come from within so we don't push "school" at all. She has a bunch of workbooks gifted from various places that she likes to take out and work on whenever and we just allow it to be part of free play and because it's not a "chore" she loves it
Pretend cooking show!!
Podcasts (refer to previous post for our extensive list of favorites!)
TV time - she has set tv time while I make dinner and her favorite programs are Hi-5, The Wiggles, Fireman Sam, Paw Patrol! We also do movie night once a week and it includes snacks and lots of cuddling!
Gardening - grow a little patio/balcony garden. We planted some cilantro roots and sprouted onions!!
Friendship bracelets
Make a jumprope!
Learn a new language or skill
Picnic on your balcony if you have one or a pretend picnic in your living room!
Balls - seriously, there are so many things you can do w ball! Ella Grace had an entire afternoon of fun and made-up games by herself with just a little wooden ball and basket.
Mostly, just remember this. It's okay if they get bored. In fact, allow them to be. Remember the ball and the basket story? She had so much fun because we've actively allowed her to just explore, be creative, be bored, use her imagination, and not micromanage or set up all her play for her. The key to surviving and even thriving(!) isn't to plan out every second of their day, the key to surviving MCO is to trust her and allow room for adventure and fun. Be flexible. Freedom within boundaries, mama.
The only way through is to do it together and sometimes that means having her play by herself while I work and the other times, it means really checking in, being present, and playing along with her!
That's the secret.❤
Share the love with your mama tribe! xx
同時也有5部Youtube影片,追蹤數超過17萬的網紅Eden Ang,也在其Youtube影片中提到,A crazy creative funny take on the 20 Types of push ups. Whether you do cross fit Bboy calisthenics or just love fitness. This is a video where you ch...
「push play creative」的推薦目錄:
- 關於push play creative 在 Racheal Kwacz - Child & Family Development Specialist Facebook 的最讚貼文
- 關於push play creative 在 Patchai Pakdeesusuk Facebook 的最佳貼文
- 關於push play creative 在 Nasser Amparna Funpage Facebook 的精選貼文
- 關於push play creative 在 Eden Ang Youtube 的最佳貼文
- 關於push play creative 在 AmourBeauty JM Youtube 的最佳解答
- 關於push play creative 在 ジェットダイスケ/JETDAISUKE Youtube 的最佳貼文
push play creative 在 Patchai Pakdeesusuk Facebook 的最佳貼文
ประชาชนที่รัก
โคโรน่าไวรัสได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปอย่างมาก ความเข้าใจในสภาวะปกติของชีวิตประจำวัน ของการอยู่ร่วมกันในสังคม กำลังถูกทดสอบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกท่านนับล้านคนไปทำงานไมไ่ด้ ลูกหลานไปโรงเรียนหรือสถานอนุบาลไม่ได้ โรงภาพยนตร์ โรงละคร และร้านค้าต่างปิดตัวไป และสิ่งที่อาจจะลำบากยากเย็นที่สุดคือ เราจะไม่ได้พบหน้ากันอย่างที่ควรจะเป็นตามปกติ
แน่นอนว่า ในสถานการณ์แบบนี้ เราทุกคนล้วนกังวลสงสัยว่า "จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป"
ข้าพเจ้าจึงได้มาพบกับทุกท่านในวันนี้ เพราะข้าพเจ้าประสงค์จะบอกกล่าวต่อท่านว่า
ในฐานะสมุหนายก และเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าทุกคนในรัฐบาลสหพันธรัฐ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
นี่คือส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยที่เปิดกว้างของเรา
ที่เราจะทำให้การตัดสินใจทางการเมืองโปร่งใส และอธิบายต่อประชาชน
ว่าเราจะสร้างการสื่อสารการลงมือทำของเราให้ดีที่สุดสุดกำลังของเรา
ให้ทุกท่านได้เป็นส่วนหนึ่ง มีความสัมพันธ์ร่วมกัน
ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างหนักแน่นว่า เราจะจัดการงานครั้งนี้ได้สำเร็จ
หากประชาชนทุกคน มองว่าเป็นหน้าที่ร่วมกันของพวกเรา
ดังนั้น ขอให้ข้าพเจ้ากล่าวย้ำอีกครั้งว่า
"นี่เป็นเรื่องจริงจัง โปรดได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เช่นกัน"
นับแต่การรวมชาติเยอรมัน ไม่สิ นับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
ไม่เคยมีความท้าทายใดจะคุกคามประเทศของเราได้มากขนาดนี้
ซึ่งทำให้เราต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง
ข้าพเจ้าขออธิบายสถานการณ์ของโรคระบาดในประเทศของเราในปัจจุบัน
และสิ่งที่รัฐบาลสหพันธ์และรัฐบาลแห่งแคว้นได้กำลังลงมือทำอยู่
เพื่อปกป้องทุกคนในชุมชนของเรา
เพื่อลดความเสียหายที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
แต่ข้าพเจ้าก็ยังอยากจะบอกต่อท่านถึงเหตุผล ว่าทำไมความช่วยเหลือของท่านจึงจำเป็น และบอกถึงสิ่งที่ทุกคนสามารถช่วยเหลือกันได้ในยามโรคระบาดเช่นนี้
ข้อมูลของข้าพเจ้าได้มาจากคำปรึกษาของรัฐบาลกลาง ร่วมกับสถาบันโรแบร์ต คอช นักวิทยาศาสตร์และนักไวรัสวิทยา
การวิจัยอย่างเข้มข้นกำลังดำเนินไปทั่วโลก แต่ในตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษาหรือวัคซีนที่จะต่อสู้กับโคโรน่าไวรัสนี้ได้ ดังนั้น ตราบที่ยังเป็นอย่างนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ และเป็นแนวทางปฏิบัติของพวกเราทั้งหมด คือ
"การชะลอการระบาดของไวรัส"
เพื่อถ่วงเวลาให้ยาวนานข้ามวันเดือน และเอาชนะด้วยเวลา
เวลาที่วิทยาศาสตร์จะพัฒนายาและวัคซีน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลา
เวลาที่จะให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและหายดีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เยอรมนีมีระบบการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม อาจจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดในโลก
ซึ่งนำความเชื่อมั่นมาให้เรา
แต่เมื่อโรงพยาบาลของเราเต็มล้น
หากในระยะเวลาอันสั้น ผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลมากเกินไป
ผู้ป่วยที่ติดเชื้ออย่างรุนแรง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขสถิติ
แต่คือคุณพ่อ คุณปู่ คุณตา
คุณแม่ คุณย่า คุณยาย
คนรักของเรา
พวกเขาคือผู้คน
และเราคือชุมชนที่อยู่ร่วมกัน
ซึ่งทุกชีวิต ทุกคน มีคุณค่า มีความหมาย
ในโอกาสนี้ อันดับแรก ข้าพเจ้าอยากจะขอกล่าวถึง
เหล่าแพทย์ พยาบาล ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลและบุคลากรที่ทำงานสาธารณสุขทุกท่าน ผู้ยืนอยู่ในแนวหน้า พวกท่านได้พบกับผู้ป่วย พบความรุนแรงของการติดเชื้อ และเช้าวันรุ่งขึ้น พวกท่านก็ยังต้องไปทำงานอีก
สำหรับผู้คนแล้ว สิ่งที่ท่านทำนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ข้าำเจ้าขอขอบพระคุณจากใจจริง
เป้าหมายของเราคือ การถ่วงเวลาที่ไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่วเยอรมนี
เราจึงจำเป็นต้องลดการใช้ชีวิตนอกบ้านให้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ให้ประเทศของเราดำเนินงานต่อไปได้
ทรัพยากรในการดำรงชีพ ต้องรับประกันว่าจะมีเพียงพอ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเป็นไปตามปกติให้มากที่สุด
แต่สิ่งใดที่จะเป็นภัยต่อผู้คนจำนวนมาก สิ่งที่จะก่อความเสียหายต่อบุคคลหรือชุมชน เราต้องลดลงตั้งแต่บัดนี้ เราต้องลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้ผู้อื่นให้เหลือน้อยที่สุด
ข้าพเจ้าทราบดีว่า มาตรการนี้ยากลำบากเพียงใด ไม่มีงานกิจกรรม ไม่มีงานออกร้านค้าขาย ไม่มีคอนเสิร์ต และในตอนนี้ ไม่มีการไปโรงเรียน ไม่มีการไปมหาวิทยาลัย ไม่มีการไปสถานอนุบาล ไม่มีการละเล่นในสนามเด็กเล่น ข้าพเจ้าทราบว่าการปิดทุกอย่างดังกล่าวมา ซึ่งรัฐบาลกลางและรัฐบาลแคว้นเห็นพ้องต้องกัน นั้นได้แทรกแซงชีวิตและความเป็นประชาธิปไตยของเรา
เป็นการจำกัดเสรีภาพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในสาธารณรัฐของเรา
แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า
สำหรับข้าพเจ้าที่ได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วงมายาวนาน เพื่อให้ได้เสรีภาพในการเดินทางและเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่
การจำกัดสิทธินี้เป็นเพียงมาตรการในสถานการณ์จำเพาะอย่างยิ่ง
ในระบอบประชาธิปไตยที่เราไม่พึงกระทำการตามอำเภอใจ
และจะเป็นเพียงระยะเวลาชั่วคราวเท่านั้น
เพราะในเวลานี้ เป็นวิธีที่ขาดไม่ได้ในการรักษาชีวิตคน
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ การตรวจคนเข้าเมืองบริเวณพรมแดนและการจำกัดการเข้าเมืองจะมีผลบังคับใช้
สำหรับทางด้านเศรษฐกิจ บริษัทใหญ่และเล็ก ร้านค้า ร้านอาหาร คนทำงานอิสระ เป็นเรื่องยากลำบากที่จะดำเนินการต่อไป และในสัปดาห์หน้า จะยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าขอรับรองว่า รัฐบาลของเราจะทำงานอย่างสุดกำลังเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรักษาตำแหน่งงาน
เราสามารถและจะใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อช่วยเหลือธุรกิจและคนทำงานในการทดสอบที่ยากลำบากนี้ และทุกคนจะมีอาหารอย่างเพียงพอในทุกเวลา หากชั้นวางสินค้าว่างเปล่าลง จะถูกเติมให้เต็ม
สำหรับผู้ที่กำลังซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า การเก็บตุนเสบียงเป็นเรื่องสำคัญ แต่การกักตุนไว้เป็นจำนวนมากนั้นไม่พึงเกิดขึ้น การกักตุนเกินต้องการนั้นไร้ประโยชน์ และเป็นสิ่งแสดงถึงการขาดจิตสำนึกร่วมอย่างร้ายแรง
และข้าพเจ้าขอขอบพระคุณ เหล่าบุคคลที่ได้รับคำขอบคุณน้อยครั้งนัก
เหล่าผู้ที่นั่งอยู่หลังเครื่องเก็บเงินของร้านค้า
เหล่าผู้ที่เติมสินค้าให้ชั้นวางของ
พวกท่านได้ทำงานที่สำคัญและยากลำบากที่สุดงานหนึ่งในเวลานี้
ขอขอบพระคุณประชาชนทุกท่านที่ทำงานให้ร้านค้าทั้งหลายยังเปิดอยู่ได้
ต่อจากนี้เป็นเรื่องด่วนที่สุดสำหรับข้าพเจ้า
มาตรการทั้งหมดที่รัฐบาลดำเนินการ ล้วนมีจุดประสงค์
หากเราไม่ใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัส คือพวกเราทุกคน
เราทุกคนสามารถติดเชื้อไวรัสได้อย่างเท่าเทียมไม่แตกต่างกัน
ดังนั้นเราต้องช่วยกัน
อันดับแรก เราจึงต้องจริงจัง แต่ไม่ตื่นตระหนก
ไม่โทษกันเองว่าไม่ทำตามบทบาท เพราะทุกคนนั้นขาดไปไม่ได้
ทุกคนล้วนสำคัญ ต้องอาศัยความพยายามของพวกเราทุกคนไปพร้อมกัน
โรคระบาดครั้งนี้ทำให้เราเห็นว่า เราอ่อนแอเปราะบางแค่ไหน
เราต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นมากเพียงใด
แต่ก็เป็นโอกาสให้เราป้องกันตัวเองและคุ้มครองผู้อื่น สร้างความเข้มแข็งร่วมกัน ทุกคนมีความสำคัญ
เราต้องไม่ถูกประณามว่ารับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเฉื่อยชา เรามีวิธีแก้ไขรักษา แม้เราจะต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน
ข้อแนะนำของนักไวรัสวิทยานั้นชัดเจน
ไม่จับมือ
ล้างทำความสะอาดมืออย่างสม่ำเสมอ
อยู่ห่างกันอย่างน้อย 1.5 เมตร
งดเว้นการติดต่อกับผู้อาวุโส เพราะพวกท่านมีความเสี่ยงสูงสุด
ข้าพเจ้าทราบดีว่ามาตรการดังกล่าวนั้นยากลำบากยิ่งนัก
โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่กดดน เรายิ่งอยากอยู่ร่วมกันใกล้ชิด
อยากดูแลกันอย่างชิดใกล้
แต่ในเวลานี้ น่าเสียดายที่การทำตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่ถูกต้องกว่า
เราจำเป็นต้องเข้าใจว่า ตอนนี้ การห่างไกลกันคือการแสดงความห่วงใย
การเยี่ยมเยือน การเดินทางที่ไม่จำเป็น ล้วนแล้วแต่อาจทำให้ติดเชื้อได้
และไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้
และนี่คือเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า
ปู่ย่าตายายและหลานๆ ยังไม่ควรเจอกัน
ผู้ที่หลีกเลี่ยงการพบปะโดยไม่จำเป็น จะช่วยเหล่าผู้คนที่ยังทำงานในโรงพยาบาล ที่กำลังดูแลผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน นี่คือวิธีที่เราจะช่วยรักษาชีวิตคนได้
เป็นเรื่องยาก ที่จะไม่ทิ้งใครให้อยู่เพียงลำพัง ที่จะดูแลคนที่ต้องการความเอาใจใส่ดูแล ในฐานะครอบครัวและสังคม เราจะหาทางร่วมมือกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในตอนนี้ได้มีวิธีการมากมายที่สร้างสรรค์ เพื่อต่อสู้กับไวรัสและผลกระทบทางสังคม
มีเหล่าหลานๆ ที่บันทึกพ็อดแคสต์ส่งให้ปู่ย่าตายายของพวกเขาได้ฟัง ให้รู้ว่าพวกท่านไม่ได้อยู่ตามลำพัง
เราทุกคน จะหาทางแสดงความรักและมิตรภาพ สไกป์ โทรศัพท์ อีเมล หรือแม้แต่กลับมาเขียนจดหมายกันอีกครั้ง
จดหมายไปรษณีย์ทั้งหมดจะได้รับการส่งถึงอย่างแน่นอน
มีข่าวเล่าถึงการช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่สูงอายุ ซึ่งไม่สามารถออกไปซื้อของได้ด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าแน่ใจว่าจะมีมากยิ่งไปกว่านี้อีก!
เราจะแสดงให้เห็นว่า ในความเป็นสังคม เราจะไม่ทิ้งให้ใครอยู่เพียงลำพังคนเดียว
ข้าพเจ้าร้องขอต่อท่านว่า โปรดจงได้เคารพกฎที่กำลังจะออกมาต่อจากนี้
เรา ในฐานะรัฐบาล จะตรวจสอบแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเราจะทบทวนตอบสนองมาตรการต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้ในทุกเวลา และแน่นอนว่า เราจะอธิบายให้ทุกท่านรับทราบในทันที
ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงขอย้ำต่อท่านว่า "อย่าหลงเชื่อข่าวลือใดๆ!"
นอกจากข่าวสารจากทางการ ซึ่งเราจะแปลออกเป็นหลายภาษา
เราเป็นชาติประชาธิปไตย
เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างถูกบังคับ
แต่อยู่ได้โดยการแบ่งปันข้อมูลความรู้และความร่วมมือกัน
นี่คืองานชิ้นประวัติศาสตร์
และจะสำเร็จลงได้ด้วยการร่วมมือกัน
ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า
เราจะข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้
แต่ด้วยผู้เสียหายจำนวนเท่าใด?
เราต้องเสียคนที่เรารักไปมากเท่าใด?
คำตอบนั้นอยู่ที่สองมือของเราลงมือทำ
ในตอนนี้ เราจะร่วมคิด ร่วมทำ ไปร่วมกัน
เราสามารถยินยอมรับข้อจำกัดต่างๆ แล้วเผชิญหน้าไปพร้อมกัน
สถานการณ์ตอนนี้หนักหนา แต่ก็ยังเปิดกว้าง
หมายความว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวินัยของทุกคนที่จะปฏิบัติตามกฎและดำเนินการให้สอดคล้องกัน
แม้ว่าเรายังไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่เราจะกระทำอย่างจริงใจและมีเหตุผล เพื่อที่จะรักษาชีวิตผู้คนไว้
โดยไม่มีข้อยกเว้น ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน และเราทุกๆ คน
ได้โปรดดูแลตัวเองและคนที่ท่านรัก
ข้าพเจ้าขอขอบคุณ
- อังเกลา แมร์เคิล, สมุหนายกแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
แถลงข่าวทางโทรทัศน์ต่อสาธารณชนเยอรมัน 19 มีนาคม 2020
ธีรภัทร เจริญสุข แปลจาก https://youtu.be/F9ei40nxKDc
Beloved people.
Coronavirus has dramatically transformed our lives. Understanding the normal condition of everyday life of social coexistence is being tested like never before.
Millions of you go to work. We can't go to school or kindergarten. Cinemas, theatre and stores are closed. And the thing that may be the hardest thing is that we won't see each other as usual.
Of course, in this situation, we all worry, wondering ′′ what will happen next
I have come to meet with all of you today because I want to tell you that
As the Prime Minister and all my colleagues in the federation government amid this situation.
This is part of our open-minded democracy.
That we will make transparent political decisions and explain to the public.
That we will build our communication, action to the best of our strength.
Let everyone be part of the relationship together.
I am confident that we will manage this job successfully.
If all citizens considered our shared duty.
So let me repeat again that
′′ This is serious, please take this seriously too ′′
Since German unification, no, but WWII.
Never had a challenge to threaten our country so much
Which makes us strong together.
I would like to explain the plague of our current plague in our country.
And what the Federal and Regional Government are doing.
To protect everyone in our community
To reduce the damage to economic, social and cultural.
But I want to tell you why your help is needed and tell you how everyone can help each other in this plague.
My data is obtained from federal consultations with Robert Cosh Institute, scientists and virusist.
Intense research is going around the world, but currently there is no cure or vaccine to fight this coronavirus, so as long as this is the only thing that can and is our guideline.
′′ Slow down the viral outbreak ′′
To delay long over the days, months and overcome with time.
Time for science to develop medicine and vaccines.
And especially time
Time to get the patients treated and recover as well as they can.
Germany has an excellent medical system, probably one of the best countries in the world.
Which brings us faith.
But when our hospital is overflowing
If in a short period of time, too many patients admitted to hospital.
Patient with severely infected.
These are not just statistic numbers.
It's father, grandfather, grandfather, grandfather.
Mother, grandmother, grandmother.
Our lover.
They are the people
And we are a community together
Every life has a value for meaning.
On this occasion, I would like to mention.
Doctors, nurses, hospital practitioners and public health workers standing in the front line. They meet patients, facing the brunt of the infection and the next morning you go to work.
For people, what you do is immense.
I thank you sincerely.
Our goal is to delay the virus will spread across Germany.
We therefore need to reduce outside living. It must be reasonable for our country to carry on.
Livelihood resources must guarantee that there will be enough and economic activity will be most normal.
But what's a threat to many people, what's going to damage our individual or community must be reduced. From now on, we have to minimize the risk of infections to others.
I know how tough this measure is. No events, no stores, no concerts, and no school, no university, no kindergarten, no play in the playground. I know that all of these closures come to the government. Central and the government of the Agreement has interrupted our lives and democracy.
Limiting freedom like never before in our republic
But I assure you all,
For me, I have fought hard for a long time to obtain freedom of travel and move my habitat.
Limiting this right is just a measure in a very specific situation.
In a democracy we don't have to act on a whim.
And will only be a temporary period of time
Because at the moment, this is an indispensable way to save a person's
For this reason, from the beginning of the week, border immigration and urban restrictions are mandatory.
For economics, big and small companies, shops, restaurants, independent workers are hard to carry on and next week will be even harder.
I assure you that our government will work hard to relieve economic impact, especially to maintain job title.
We can and will use everything we have to help businesses and people working on this tough test. And everyone will have enough food anytime if the shelf is empty.
For those who are buying products in supermarkets, I confirm that keeping supplies is important. But a lot of hoarding is not happening. Hoarding over need is useless and represents a strong lack of conscience.
And I would like to thank those who received little thanks.
Those who sit behind store cashiers
Those who fill up the shelf
You have done the most important and difficult job at this time.
Thank you to all the people who work for the stores still open.
From now on, it's most urgent for me.
All measures the government implemented have a purpose
If we don't take the most effective measures to stop the viral epidemic, we all are.
We can all be infected with the virus equally. No difference.
So we need to help each other
Firstly, we must be serious but not panic.
I don't blame each other for not following the role because everyone is absent.
Everyone is important. We all have to put our efforts together.
This plague shows us how vulnerable we are.
How much do we rely on others
But it's an opportunity for us to protect ourselves and protect others. Build strength together. Everyone is important.
We must not be condemned for dealing with the epidemic of the virus. We have a cure even if we have to distance ourselves.
Viralist advice is clear.
Not holding hands.
Wash, clean hands regularly.
At least 1.5 meters apart
Refrain from contacting elders because you are at highest risk.
I know that the measures are tough.
Especially in the times that we push on, we want to be together closer.
I want to take care of each other very close.
But at this time, unfortunately doing the opposite is more accurate.
We need to understand that far away from each other is showing concern.
An unnecessary visit to travel can cause an infection.
And shouldn't be happening at this time
And this is why experts say
Grandparents and grandkids still shouldn't meet
Those who avoid unnecessary meeting help those working in hospitals who are taking care of patients everyday. Here's how we can save lives.
It's difficult not to leave anyone alone to take care of those who need care. As a family and society we will find a way to help each other.
Now there are many creative ways to fight viruses and social impacts.
There are nephews who recorded podcasts sending to their grandparents. Let's know you're not alone.
We will all find a way to show love and friendship. Skype, phone, email or even back to write letters again.
All postal letters will definitely be delivered.
News of helping an elderly neighbor who can't afford to go shopping on their own. I'm sure there will be more!
We will show that in society we will never leave alone alone
I say to you, please respect the rules that are coming out.
We, as a government, will continually investigate and resolve to keep up with the rapidly changing events and we will review the measures to work anytime and of course, we will explain to you all immediately.
For this reason, I repeat to you, ′′ Do not believe any rumors!"
Apart from official news we translate into multiple languages
We are a democratic nation.
We don't live life forced.
But live by sharing information, knowledge and cooperation.
This is a historic piece.
And it will be done by collaboration.
I'm very confident that
We will cross through this crisis.
But with how many victims?
How much do we have to lose someone we love?
The answer is at two hands. Take action.
Now we will think, join together.
We can consent to the limitations and confront them together.
Current situation is heavy but still wide open
It means everything depends on everyone's discipline to follow the rules and act accordingly.
Although we haven't experienced this before, we will act sincere and reasonably to save people's lives.
Without exception, it's up to each and every one of us.
Please take care of yourself and your loved ones
I thank you.
- Angle Merkel, Prime Minister of Federal Republic of Germany
Press conference on television on German public 19 March 2020
Theiraphat Charoen Suk translates from https://youtu.be/F9ei40nxKDcTranslated
push play creative 在 Nasser Amparna Funpage Facebook 的精選貼文
A GOOD READ from one of the greatest leader that lived, #SINGAPORE's founding man, #LeeKuanYew
THIS MUST BE SHARED AND THOROUGHLY READ BY EVERY FILIPINO... Its quite long but it will surely strengthen our minds but then at the end, I was like "SAYANG!!!"
It came from the SINGAPORE'S FOUNDING MAN ITSELF, former Prime Minister LEE KUAN YEW on how the Philippines should have become, IF ONLY...
I've just read it and, its point blank!
Its a good read
____________
(The following excerpt is taken from pages 299 – 305 from Lee Kuan Yew’s book “From Third World to First”, Chapter 18 “Building Ties with Thailand, the Philippines, and Brunei”)
*
The Philippines was a world apart from us, running a different style of politics and government under an American military umbrella. It was not until January 1974 that I visited President Marcos in Manila. When my Singapore Airlines plane flew into Philippine airspace, a small squadron of Philippine Air Force jet fighters escorted it to Manila Airport. There Marcos received me in great style – the Filipino way. I was put up at the guest wing of Malacañang Palace in lavishly furnished rooms, valuable objects of art bought in Europe strewn all over. Our hosts were gracious, extravagant in hospitality, flamboyant. Over a thousand miles of water separated us. There was no friction and little trade. We played golf, talked about the future of ASEAN, and promised to keep in touch.
His foreign minister, Carlos P. Romulo, was a small man of about five feet some 20 years my senior, with a ready wit and a self-deprecating manner about his size and other limitations. Romulo had a good sense of humor, an eloquent tongue, and a sharp pen, and was an excellent dinner companion because he was a wonderful raconteur, with a vast repertoire of anecdotes and witticisms. He did not hide his great admiration for the Americans. One of his favourite stories was about his return to the Philippines with General MacArthur. As MacArthur waded ashore at Leyte, the water reached his knees but came up to Romulo’s chest and he had to swim ashore. His good standing with ASEAN leaders and with Americans increased the prestige of the Marcos administration. Marcos had in Romulo a man of honor and integrity who helped give a gloss of respectability to his regime as it fell into disrepute in the 1980s.
In Bali in 1976, at the first ASEAN summit held after the fall of Saigon, I found Marcos keen to push for greater economic cooperation in ASEAN. But we could not go faster than the others. To set the pace, Marcos and I agreed to implement a bilateral Philippines-Singapore across-the-board 10 percent reduction of existing tariffs on all products and to promote intra-ASEAN trade. We also agreed to lay a Philippines-Singapore submarine cable. I was to discover that for him, the communiqué was the accomplishment itself; its implementation was secondary, an extra to be discussed at another conference.
We met every two to three years. He once took me on a tour of his library at Malacañang, its shelves filled with bound volumes of newspapers reporting his activities over the years since he first stood for elections. There were encyclopedia-size volumes on the history and culture of the Philippines with his name as the author. His campaign medals as an anti-Japanese guerrilla leader were displayed in glass cupboards. He was the undisputed boss of all Filipinos. Imelda, his wife, had a penchant for luxury and opulence. When they visited Singapore before the Bali summit they came in stye in two DC8’s, his and hers.
Marcos did not consider China a threat for the immediate future, unlike Japan. He did not rule out the possibility of an aggressive Japan, if circumstances changed. He had memories of the horrors the Imperial Army had inflicted on Manila. We had strongly divergent views on the Vietnamese invasion and occupation of Cambodia. While he, pro forma, condemned the Vietnamese occupation, he did not consider it a danger to the Philippines. There was the South China Sea separating them and the American navy guaranteed their security. As a result, Marcos was not active on the Cambodian question. Moreover, he was to become preoccupied with the deteriorating security in his country.
Marcos, ruling under martial law, had detained opposition leader Benigno (Ninoy) Aquino, reputed to be as charismatic and powerful a campaigner as he was. He freed Aquino and allowed him to go to the United States. As the economic situation in the Philippines deteriorated, Aquino announced his decision to return. Mrs. Marcos issued several veiled warnings. When the plane arrived at Manila Airport from Taipei in August 1983, he was shot as he descended from the aircraft. A whole posse of foreign correspondents with television camera crews accompanying him on the aircraft was not enough protection.
International outrage over the killing resulted in foreign banks stopping all loans to the Philippines, which owed over US$25 billion and could not pay the interest due. This brought Marcos to the crunch. He sent his minister for trade and industry, Bobby Ongpin, to ask me for a loan of US$300-500 million to meet the interest payments. I looked him straight in the eye and said, “We will never see that money back.” Moreover, I added, everyone knew that Marcos was seriously ill and under constant medication for a wasting disease. What was needed was a strong, healthy leader, not more loans.
Shortly afterward, in February 1984, Marcos met me in Brunei at the sultanate’s independence celebrations. He had undergone a dramatic physical change. Although less puffy than he had appeared on television, his complexion was dark as if he had been out in the sun. He was breathing hard as he spoke, his voice was soft, eyes bleary, and hair thinning. He looked most unhealthy. An ambulance with all the necessary equipment and a team of Filipino doctors were on standby outside his guest bungalow. Marcos spent much of the time giving me a most improbable story of how Aquino had been shot.
As soon as all our aides left, I went straight to the point, that no bank was going to lend him any money. They wanted to know who was going to succeed him if anything were to happen to him; all the bankers could see that he no longer looked healthy. Singapore banks had lent US$8 billion of the US$25 billion owing. The hard fact was they were not likely to get repayment for some 20 years. He countered that it would be only eight years. I said the bankers wanted to see a strong leader in the Philippines who could restore stability, and the Americans hoped the election in May would throw up someone who could be such a leader. I asked whom he would nominate for the election. He said Prime Minister Cesar Virata. I was blunt. Virata was a nonstarter, a first-class administrator but no political leader; further, his most politically astute colleague, defense minister Juan Ponce Enrile, was out of favour. Marcos was silent, then he admitted that succession was the nub of the problem. If he could find a successor, there would be a solution. As I left, he said, “You are a true friend.” I did not understand him. It was a strange meeting.
With medical care, Marcos dragged on. Cesar Virata met me in Singapore in January the following year. He was completely guileless, a political innocent. He said that Mrs. Imelda Marcos was likely to be nominated as the presidential candidate. I asked how that could be when there were other weighty candidates, including Juan Ponce Enrile and Blas Ople, the labor minister. Virata replied it had to do with “flow of money; she would have more money than other candidates to pay for the votes needed for nomination by the party and to win the election. He added that if she were the candidate, the opposition would put up Mrs. Cory Aquino and work up the people’s feelings. He said the economy was going down with no political stability.
The denouement came in February 1986 when Marcos held presidential elections which he claimed he won. Cory Aquino, the opposition candidate, disputed this and launched a civil disobedience campaign. Defense Minister Juan Enrile defected and admitted election fraud had taken place, and the head of the Philippine constabulary, Lieutenant General Fidel Ramos, joined him. A massive show of “people power” in the streets of Manila led to a spectacular overthrow of a dictatorship. The final indignity was on 25 February 1986, when Marcos and his wife fled in U.S. Air Force helicopters from Malacañang Palace to Clark Air Base and were flown to Hawaii. This Hollywood-style melodrama could only have happened in the Philippines.
Mrs. Aquino was sworn in as president amid jubilation. I had hopes that this honest, God-fearing woman would help regain confidence for the Philippines and get the country back on track. I visited her that June, three months after the event. She was a sincere, devout Catholic who wanted to do her best for her country by carrying out what she believed her husband would have done had he been alive, namely, restore democracy to the Philippines. Democracy would then solve their economic and social problems. At dinner, Mrs. Aquino seated the chairman of the constitutional commission, Chief Justice Cecilia Muñoz-Palma, next to me. I asked the learned lady what lessons her commission had learned from the experience of the last 40 years since independence in 1946 would guide her in drafting the constitution. She answered without hesitation, “We will not have any reservations or limitations on our democracy. We must make sure that no dictator can ever emerge to subvert the constitution.” Was there no incompatibility of the American-type separation of powers with the culture and habits of the Filipino people that had caused problems for the presidents before Marcos? Apparently none.
Endless attempted coups added to Mrs. Aquino’s problems. The army and the constabulary had been politicized. Before the ASEAN summit in December 1987, a coup was threatened. Without President Suharto’s firm support the summit would have been postponed and confidence in Aquino’s government undermined. The Philippine government agreed that the responsibility for security should be shared between them and the other ASEAN governments, in particular the Indonesian government. General Benny Moerdani, President Suharto’s trusted aide, took charge. He positioned an Indonesian warship in the middle of Manila Bay with helicopters and a commando team ready to rescue the ASEAN heads of government if there should be a coup attempt during the summit. I was included in their rescue plans. I wondered if such a rescue could work but decided to go along with the arrangements, hoping that the show of force would scare off the coup leaders. We were all confined to the Philippine Plaza Hotel by the seafront facing Manila Bay where we could see the Indonesian warship at anchor. The hotel was completely sealed off and guarded. The summit went off without any mishap. We all hoped that this show of united support for Mrs. Aquino’s government at a time when there were many attempts to destabilize it would calm the situation.
It made no difference. There were more coup attempts, discouraging investments badly needed to create jobs. This was a pity because they had so many able people, educated in the Philippines and the United States. Their workers were English-speaking, at least in Manila. There was no reason why the Philippines should not have been one of the more successful of the ASEAN countries. In the 1950s and 1960s, it was the most developed, because America had been generous in rehabilitating the country after the war. Something was missing, a gel to hold society together. The people at the top, the elite mestizos, had the same detached attitude to the native peasants as the mestizos in their haciendas in Latin America had toward their peons. They were two different societies: Those at the top lived a life of extreme luxury and comfort while the peasants scraped a living, and in the Philippines it was a hard living. They had no land but worked on sugar and coconut plantations.They had many children because the church discouraged birth control. The result was increasing poverty.
It was obvious that the Philippines would never take off unless there was substantial aid from the United States. George Shultz, the secretary of state, was sympathetic and wanted to help but made clear to me that the United States would be better able to do something if ASEAN showed support by making its contribution. The United States was reluctant to go it alone and adopt the Philippines as its special problem. Shultz wanted ASEAN to play a more prominent role to make it easier for the president to get the necessary votes in Congress. I persuaded Shultz to get the aid project off the ground in 1988, before President Reagan’s second term of office ended. He did. There were two meetings for a Multilateral Assistance Initiative (Philippines Assistance Programme): The first in Tokyo in 1989 brought US$3.5 billion in pledges, and the second in Hong Kong in 1991, under the Bush administration, yielded US$14 billion in pledges. But instability in the Philippines did not abate. This made donors hesitant and delayed the implementation of projects.
Mrs. Aquino’s successor, Fidel Ramos, whom she had backed, was more practical and established greater stability. In November 1992, I visited him. In a speech to the 18th Philippine Business Conference, I said, “I do not believe democracy necessarily leads to development. I believe what a country needs to develop is discipline more than democracy.” In private, President Ramos said he agreed with me that British parliamentary-type constitutions worked better because the majority party in the legislature was also the government. Publicly, Ramos had to differ.
He knew well the difficulties of trying to govern with strict American-style separation of powers. The senate had already defeated Mrs. Aquino’s proposal to retain the American bases. The Philippines had a rambunctious press but it did not check corruption. Individual press reporters could be bought, as could many judges. Something had gone seriously wrong. Millions of Filipino men and women had to leave their country for jobs abroad beneath their level of education. Filipino professionals whom we recruited to work in Singapore are as good as our own. Indeed, their architects, artists, and musicians are more artistic and creative than ours. Hundreds of thousands of them have left for Hawaii and for the American mainland. It is a problem the solution to which has not been made easier by the workings of a Philippine version of the American constitution.
The difference lies in the culture of the Filipino people. It is a soft, forgiving culture. Only in the Philippines could a leader like Ferdinand Marcos, who pillaged his country for over 20 years, still be considered for a national burial. Insignificant amounts of the loot have been recovered, yet his wife and children were allowed to return and engage in politics. They supported the winning presidential and congressional candidates with their considerable resources and reappeared in the political and social limelight after the 1998 election that returned President Joseph Estrada. General Fabian Ver, Marcos’s commander-in-chief who had been in charge of security when Aquino was assassinated, had fled the Philippines together with Marcos in 1986. When he died in Bangkok, the Estrada government gave the general military honors at his burial. One Filipino newspaper, Today, wrote on 22 November 1998, “Ver, Marcos and the rest of the official family plunged the country into two decades of lies, torture, and plunder. Over the next decade, Marcos’s cronies and immediate family would tiptoe back into the country, one by one – always to the public’s revulsion and disgust, though they showed that there was nothing that hidden money and thick hides could not withstand.” Some Filipinos write and speak with passion. If they could get their elite to share their sentiments and act, what could they not have achieved?
-----
SAYANG! kindly share.
push play creative 在 Eden Ang Youtube 的最佳貼文
A crazy creative funny take on the 20 Types of push ups. Whether you do cross fit Bboy calisthenics or just love fitness. This is a video where you challenge yourself and intrigue your fiends. Remember to tag 3 friends you'd like to challenge. Do play a response video. Thanks loads Jordan Yeoh for the inspiration.
Follow me on:
Instagram: http://instagram.com/eden_ang
Facebook: https://www.facebook.com/edenangedenang
Twitter: https://twitter.com/eden_ang
Google+ : https://plus.google.com/u/0/102364448359726068376/posts
Song: Kadenza - Harpuia [NCS Release]
Music provided by NoCopyrightSounds.
Video Link: https://youtu.be/f0J2lyVy9_8
push play creative 在 AmourBeauty JM Youtube 的最佳解答
好似都好一段時間無同大家分享過我地既日常妝容啦~今次就同大家update下我地呢排都經常化既妝容~
大家都知Jade就比較行韓風多D啦~而Minnie就好明顯行歐美風啦~所以今次示範既妝容都好唔同!
我同Minnie平日出下街,無咩特別都系化呢個妝嫁~所以呢知妝容系好容易上手,大家都可以試下^^
Products Jade used:
1) Caudalie limited edition Organic Grape Water
2) IPSA 50 protector daytime shield ex *
3) Bareminerals BARESKIN complete coverage serum concealer
4) YSL Fusion ink cushion foundation SPF 23/ PA ++ 10 *
5) Pony X Etude House 101 play stick
6) lash by Suavis
7) IPSA brow palette *
8) Pony Effect contoured brow color #Natural Brown
9) Pony Effect Stay Put eye stick #Deep Focus
10) I'm eye shadow palette #SP01 Day to Night
11) Shu uemura X KYE fresh cushion blush #Hibiscus pink *
12) Shu Uemura X KYE sheer color balm #Glow In Pink *
Products Minnie used:
1) IPSA Protector Daytime Shield EX *
2) Lush Feeling Younger Skin Tint
3) YSL Toche Eclat Foundation
4) TOMFORD shade & illuminating Sculpter
5) Shu uemura X KYE fresh cushion blush *
6) TOMFORD Eyeshadow Quad
7) Shu Uemura Brow Kit Cappuccino X Dark Rose *
8) Benefit They’re Real Push Up Liner
9) Etude House Play 101 stick
10) IPSA Pure Loose Powder EX *
11) Dolly Wink Volumizing Mascara
12) IPSA Eyebrow Creative palette *
13) Heavy Rotation Coloring Brow Mascara
14) Anastasia contouring palette light
15) UDXGwen Lip Liner Wonderland *
16) UDXGwen Lip Stick Wonderland *
Social Medias:
Instagram: wysminnie & jadelamm
Facebook Page: www.facebook.com/jm.amourbeauty
* Products with (*) are sponsored by the corresponding companies, but all the comments are truly JM's own opinion.
push play creative 在 ジェットダイスケ/JETDAISUKE Youtube 的最佳貼文
#5daysartchallenge 五日間のアートチャレンジ今日は二日目ですけども、昨日とはうってかわって手にすることのできる作品でございます。2015年3月31日までスプリングセール中ですよ!(笑)
UUUM ジェットダイスケ をAmazonで検索→ http://www.amazon.co.jp/s/?_encoding=UTF8&camp=247&creative=7399&field-keywords=UUUM%E3%80%80%E3%82%B8%E3%82%A7%E3%83%83%E3%83%88%E3%83%80%E3%82%A4%E3%82%B9%E3%82%B1&linkCode=ur2&rh=i%3Aaps%2Ck%3AUUUM%E3%80%80%E3%82%B8%E3%82%A7%E3%83%83%E3%83%88%E3%83%80%E3%82%A4%E3%82%B9%E3%82%B1&tag=jetdaisuke-22&url=search-alias%3Daps
※上記製品リンクURLはAmazonアソシエイトのリンク(検索結果ページ)を使用しています。
昨日の「5days Art Challenge」はこちら
https://www.youtube.com/watch?v=YycVK-DVSyA
Surface関連の動画はこちら
Surface Pro 3 買うたった!使い心地バツグン、前モデルから乗り換えて吉
https://www.youtube.com/watch?v=Hy4BrzW1rf0
なぜWindowsタブレットを私は推すのか?オンスクリーンキーボードの機能で圧倒!しかし新型Surfaceタイプカバーには不満も
https://www.youtube.com/watch?v=N7WswwzrcP4
コンセントも使える合体モバイルバッテリー「POWER-POND Connect」(パワーポンド・コネクト)大容量40,800mAhを「Surface Pro 3」用に導入
https://www.youtube.com/watch?v=G0cfnqjPg-U
【ウンコ描いてみた】Adobe IllustratorがWindows用タッチUI実装したのでSurface Pro 3でウンコ描いてみたんだが
https://www.youtube.com/watch?v=NG1IQiPmGak
大型タッチパッド搭載All-in-One Media Keyboard N9Z-00023 マイクロソフト純正ワイヤレスキーボードSurface Pro 3 ユーザーに
https://www.youtube.com/watch?v=s1fzowPF5wA
ChargeAll コンセント付きモバイルバッテリー Portable Power Outlet ノートパソコンにも!
https://www.youtube.com/watch?v=WFO-EfsdU0s